Slider
ดูหนังเอเชีย

Software แนะนำโปรแกรม ทั้งฟรีและไม่ฟรี ยอดฮิตประจำปี 2019

แนะนำโปรแกรม (Software) เด็ดประจำปี 2019 พร้อมทั้งถ้าเราใช้โปรแกรมเสียตังแบบถูกลิขสิทธิ์จะต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไหร่กันนะ และจะมีโปรแกรมฟรีตัวไหนใช้แทนกันได้บ้างนะ

Software

แนะนำโปรแกรม ทั้งฟรีและไม่ฟรี ยอดฮิตประจำปี 2019

ซอฟแวร์แท้ลิขสิทธิ์

เริ่มกันที่ Windows 10 Pro กันเลย

pl17762534

ราคาอยู่ที่ 4,XXX – 5,XXX บาท

Microsoft Office Home 2016

pl21036399

ราคาอยู่ที่ 6,XXX – 7,XXX บาท

IDM โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดยอดนิยม

IDM Internet Download Manager e1413301428719

ราคา 29.95USD หรือราวๆ 1,000 บาท

มาดูกันต่อที่โปรแกรมป้องกันไวรัสยอดฮิตอย่าง KASPERSKY INTERNET SECURITY 2018

81hlLFg0DDL. SY606

ราคาอยู่ที่ 1,780 บาท

Nero Burning Rom 2018

nero buring rom origin

ราคาอยู่ที่ 3,210 บาท

Photoshop CC 2019 โปรแกรมตัดต่อภาพที่จำเป็นต้องมีติดเครื่องเอาไว้

maxresdefault 1

ราคา คิดเป็นรายเดือน เดือนละ 300

รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 17,290 บาท

โปรแกรมฟรี ที่ยอดนิยมประจำปี 2019 และ สามารถใช้แทนกันได้

ซอฟแวร์ฟรีใช้แทนกันได้

Ubuntu หรือระบบ Linux ยอดนิยมที่มีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา แถมหน้าตายังสวยด้วยนะ

1200px Ubuntu 18.10

โปรแกรม Gimp สามารถใช้แทน Photoshop ได้ ที่สำคัญ ฟรี!!

GIMPPortable

7zip ใช้แทน Winrar แตกไฟล์ได้เหมือนกันอีกทั้ง ยัง สร้างไฟล์เป็น .001 ได้อีกด้วย ที่สำคัญ ฟรี!!

7 zip 15.12 stable

Office Online แน่นอนตอนนี้ทาง Microsoft ได้มี Office ให้ใช้งานบนเว็บกันฟรีๆแล้ว แต่ข้อเสียคือต้องใช้เน็ตตลอดเพื่อใช้งาน

5000

ต้องบอกว่าถึงแม้เราจะไม่ใช้โปรแกรมเสียตัง ใช้โปรแกรมพวกฟรีก็ยังสามารทดแทนบางอย่างได้อยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่ก็ตาม และที่สำคัญหากเราใช้โปรแกรมที่ถูกลิขสิทธิ์ผู้พัฒนาก็จะมีกำลังใจในการพัฒนาโปรแกรมดีๆ ออกมา ให้เราใช้กันอีกด้วย และบางโปรแกรมเรายังสามารถอัพเดทต่อไปโดยไม่ต้องเสียตังซื้ออีกรอบด้วยนะ

โปรแกรมฟรี

โปรแกรมฟรี หรือโปรแกรมเสียเงิน ดีกว่ากัน ?

คุณเคยประสบปัญหาไม่อยากจ่ายเงินซื้อซอฟต์แวร์ แต่อยากได้ซอฟแวร์ดีดี แต่พอซื้อมาแล้วต้องมานั่งวุ่นวาย ไหนจะเอาไฟล์ exe มาใส่ folder อะไรก็ไม่รู้ อ้าว… นี่มันคือการดัดแปลงแก้ไข ทำให้ซอฟต์แวร์ดีดีใช้งานได้ โดยไม่ต้องเสียเงินนั่นเอง แต่ใช้ไป ๆ พี่ตำรวจมาเยี่ยมซะงั้น พร้อมบอกข้อหาว่า คุณกำลังละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา จะทำยังไงดีทีนี้ หนักหน่อยโดนโทษปรับ ดีหน่อยเขาก็ให้เลือก ถ้าไม่ซื้อของเขาต้องเลิกใช้ แล้วจะใช้โปรแกรมอะไรล่ะ ลองเข้า Google ใช้คำค้นหาแบบสิ้นคิด

ไม่ต่างจากสั่งข้าวกะเพราหมูไข่ดาว ซึ่ง keyword นั้นก็คือ “โปรแกรมฟรี” เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณจะพบเว็บไซต์คุณภาพ เช่น thaiware.com, downloaddd.com, download.com เป็นต้น คุณเริ่มเข้าไปในเว็บไซต์นั้น แล้วเริ่มดาวน์โหลดโปรแกรมเหล่านั้นมาใช้ แต่ก็พบว่าใช้ไป หงุดหงิดไป แถมงานที่ออกมากลับแย่กว่าใช้โปรแกรม paint ในวินโดวส์เสียอีก เพราะคุณใช้โปรแกรมฟรีเหล่านั้นไม่เป็น

ฉะนั้น วันนี้เรามาคุยกันว่า ควรจะใช้ โปรแกรมฟรี หรือ โปรแกรมเสียเงิน ดีกว่ากัน !!

หลายคนคงคิดว่า ใช้โปรแกรมฟรี ดีกว่าแน่นอน แต่ความจริงแล้วไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะบริษัทผลิตซอฟต์แวร์รู้ดีว่า เขาต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้สินค้าของเขา เช่น ถ้าคุณใช้ Adobe acrobat Pro เพื่อสร้าง PDF อยู่ดีดีแล้ว ต้องไปใช้โปรแกรมฟรีอื่น ๆ คุณภาพของไฟล์อาจจะไม่ได้ออกมาเหมือนอย่างของ original บางทีคนเปิดด้วย Adobe Acrobat reader ก็อาจจะอ่านได้ไม่ครบถ้วน หรือโปรแกรม 3D CAD อย่างพวก SOLIDWORKS หรือ Autodesk Inventor หรือฟรี 3D CAD เช่น FreeCAD เอง ก็จะมีไฟล์ของตัวเอง ที่เมื่อเปิดโดยตัวของมันเองเท่านั้น งานถึงจะสมบูรณ์

ร้ายกว่านั้นกลับไม่ใช่เรื่องของ feature ของโปรแกรมเลย กลับเป็นเรื่องของความคุ้นชินของผู้ใช้โปรแกรม ที่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เช่น ถ้าวันนี้คุณใช้ Microsoft outlook อยู่ดีดี แล้วเกิดเจ้านายคุณเดินมา บอกให้คุณเปลี่ยนไปใช้ Thunderbird ของ Mozilla ขึ้นมา คุณคงชะงัก ทั้งในเรื่องหน้าตาและ feature ก็ไม่เหมือนกัน ความเข้ากันได้ของโปรแกรมก็จะลดทอนลงบ้าง

ก่อนผมจะโดนแฟน ๆ และสาวกของโปรแกรมที่พูดชื่อขึ้นมา โพสต์ต่อว่าผมในหน้าเพจ ขอออกตัวก่อนเลยว่า นั่นคือตัวอย่างจริง ต่อพฤติกรรมจริง ของผู้ใช้งานโปรแกรม ที่บางครั้งความอยากใช้ ก็มิได้สอดคล้องกับความอยากหรือความสามารถที่จะจ่ายเงินซื้อ แล้วควรจะทำยังไง ?

ถ้าเราต้องการใช้โปรแกรมพวกนี้ในการทำงานจริง ๆ วันนี้ผมขอนำประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาด้าน software มายาวนานถึง 11 ปี มาบอกวิธีวิเคราะห์สั้น ๆ ง่าย ๆ และการวางแผนการใช้โปรแกรมที่เหมาะสม และไม่ต้องมีปัญหากับพี่ตำรวจมาบอกครับ

ขั้นแรก คุณต้องวิเคราะห์ถึงความต้องการใช้งานเป็นหลักก่อน จริง ๆ แล้ว คุณต้องการความสามารถของโปรแกรมมากเพียงใด ต้องใช้โปรแกรมด้านไหนบ้าง ให้จดออกมาเลยครับ อย่าเพิ่งเอาตัวเงินมาขวางกั้น เพราะอาจทำให้ทำงานบางอย่างไม่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งเครื่องส่วนใหญ่ในองค์กรจะมีโปรแกรมพื้นฐาน ทั้งแบบจ่ายและทดแทนกันได้ ดังนี้

จากลิสต์ข้างบน เป็นเพียงตัวอย่างเด่น ๆ ที่ในแต่ละเครื่อง PC ใน office มีไว้ใช้งาน ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้ ฟรี หรือไม่ฟรี นั้น ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าโปรแกรมที่ต้องจ่ายเงินดีกว่า แต่เป็นทางเลือกของผู้ใช้งานที่มีขนาดของกระเป๋าเงินที่ต่างกัน ซึ่งบางโปรแกรมที่บอกว่า ฟรี เวลาเราค้นหาเจอใน internet บางตัวฟรีจริง ลดค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร ซึ่งผมเอ่ยชื่อทั้งหมดไม่ไหวจริง ๆ แต่ถ้าอยากรู้โปรแกรมประเภทไหนบ้าง ให้ถามทางเพจก็แล้วกัน

ทุกวันนี้ในเครื่องผมทำงานใช้ opensource หรือ free อยู่ครึ่งหนึ่ง ทั้งงานกราฟิก งานตัดต่อ งานคำนวณกระจุกกระจิก โปรแกรม utility ต่าง ๆ พวกนี้ผมใช้ฟรีไม่เคยเสียเงิน ที่จะไม่ฟรีก็แค่ OS กับโปรแกรมใช้งาน office หลัก ตัวสองตัวเท่านั้นเอง

แต่ software free ก็ไม่ได้ให้ใช้ฟรีทั้งหมด บางโปรแกรมอาจให้ feature บางส่วนที่อาจใช้ได้อย่างจำกัดแล้วเลิกฟรี ก็มีโปรแกรมองค์กรหลาย ๆ ตัว บอกว่า ฟรี ก็จริง แต่มีค่าติดตั้ง ไหนจะค่าบำรุงการติดตั้ง และปรับปรุง opensource อีก ซึ่งคุณจะต้องเริ่มลิสต์ราคาออกมา ไม่ว่าจะเป็นราคาซอฟต์แวร์ หรือถ้าฟรี จะมีค่าอื่น ๆ อีกหรือไม่ เช่น ค่าบำรุงการดูแล ค่าติดตั้ง ค่าที่ปรึกษา หลังจากนั้น เมื่อคิดเลขเสร็จแล้ว ให้แบ่งโปรแกรมเป็น 2 ประเภท คือ

1.โปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง เช่น บริษัทรับจ้างออกแบบกราฟิก ถ้าไปใช้โปรแกรมฟรี ก็ดูจะประหยัดเงินกับธุรกิจตัวเองไปหน่อย ยกเว้นแต่ว่าราคาโปรแกรมทำให้ธุรกิจไม่สามารถไปรอดได้ หรือมีส่วนต่างมากเกินไป ผมแนะนำให้ลองดู opensource และ free software ทั้งหลาย 2.โปรแกรมที่ไม่เกี่ยวกับแก่นของธุรกิจโดยตรง เช่น ถ้าเป็นบริษัทรับจ้างออกแบบข้างต้น จะไปใช้ Google Docs ก็คงจะไม่มีใครว่า

เมื่อแบ่งเสร็จแล้ว ให้วงกลมประเภทที่คุณอยากได้ และรวมต้นทุนดูว่ารับได้ไหม ถ้ารับได้ แนะนำให้มองว่า งบฯก้อนนี้เป็นงบฯเหมือนกับการซื้อเครื่องมือทำงาน ถ้าโปรแกรมเหล่านั้นช่วยให้ธุรกิจคุณพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดี มีเงินเข้ามาและธุรกิจไม่สะดุด

ไม่ว่าโปรแกรมฟรี หรือเสียเงิน ถ้าเลือกเป็น ประหยัดเงินได้ และใช้ถูกวิธี ธุรกิจประสบความสำเร็จแน่นอนครับ

เทรนด์เทคโนโลยี 2020 พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัล และวิถีชีวิต 3 Smart ของคนไทย

เทรนด์เทคโนโลยี 2020 ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและเข้ามาพลิกโฉมเศรษฐกิจและทำให้วิถีชีวิตของคนไทยดีขึ้น ที่น่าจับตามอง และองค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวอย่างไรกันบ้าง เมื่อมีความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

โกศล ทรัพย์ประเสริฐ ที่ปรึกษา บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด(มหาชน) พูดถึงเทรนด์ในปี 2020 เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่มาแรงมากขึ้น เพราะคนใส่ใจสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มองถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก

เทคโนโลยีแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีที่มาแน่นอน คือ แก็ดเจ็ตที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์สำหรับการใช้งานทั่วไปของผู้บริโภค อาทิ แก็ดเจ็ตสำหรับป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่มีคลื่นแม่เหล็กเพื่อบล็อกโมลีกุลของฝุ่น ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์เข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้ดียิ่งขึ้น

อุปกรณ์ที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัว คือ แก็ดเจ็ตการรีไซเคิลที่ชื่อว่า The Recycling Identifying Device หรือเรียกว่า R.I.D. อุปกรณ์ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบว่าชิ้นส่วนของบรรจุภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดปัญหาขยะที่ล้นโลกอยู่ในขณะนี้

นอกจากนี้สิ่งที่เห็นในการทำตลาด จะเริ่มมีแบรนด์ต่างๆ ออกมาแสดงจุดยืนถึงการเป็นแบรนด์รักษ์โลก ไม่ว่าจะเป็น โคคา โคล่า ประกาศ ประกาศเปลี่ยน “สไปรท์” เป็นขวดใส เพื่อการจัดเก็บรีไซเคิล หรือกระทั่งบาร์บีคิว พลาซ่า เปิดบริการเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารถึงบ้านแถมรักษ์โลก โดยใช้ภาชนะที่ย่อยสลายได้

ภาพ : Shutterstock

ใช้มาร์เก็ตติ้งเทคโนโลยีดันยอด

ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในปี 2562 ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่ แอร์แม็ส (Hermès) นำสินค้ามาลดราคา หรือกระทั่งนาฬิกา โรเล็กซ์ (Rolex) ต้องทำการตลาดเชิงรุก สะท้อนว่าแบรนด์ใหญ่เริ่มขายสินค้าได้น้อยลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ธุรกิจจึงต้องใช้มาร์เก็ตติ้งเทคโนโลยีเพื่อผลักดันยอดขายให้มากขึ้น โดยการใช้งานจะไม่ได้หลับหูหลับตาใช้แต่จะเป็นการใช้ที่แมทกับเรียลดีมานต์ ซึ่งจะสร้างคอนเวอร์ชัน (Conversion) คือ การทำแคมเปญโฆษณาที่มีวัตถุประสงค์ให้กลุ่มหมายเกิดการซื้อสินค้าหรือบริการมากกว่าจะเป็นแค่สร้างการรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว

ภาพ : Shutterstock

5G จุดเปลี่ยนประเทศไทย

วีรเดช พาณิชย์วิสัย ผู้จัดการฝ่ายการวิจัยด้านโทรคมนาคม และการสื่อสาร บริษัท ไอดีซี ประเทศไทย จำกัด เล่าว่า เทคโนโลยี 5G ซึ่งมีความเร็วมากกว่า 4G ถึง 100 เท่า และประเทศไทยกำลังได้ใช้ 5G ในช่วงกลางปี 2563 ในบางพื้นที่นั้น

ไอดีซีคาดการณ์ว่าการใช้งานจริงๆ ของประเทศไทยจะเกิดขึ้นในปี 2564 จุดเปลี่ยนของประเทศไทยเมื่อมี 5G  องค์กรใหญ่จะนำเทคโนโลยีไอโอทีมาใช้ภายในโรงงานปี 2565 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในขณะที่แรงงานที่ทักษะต่ำจะได้รับผลกระทบจากการทรานส์ฟอร์เมชั่นในอุตสาหกรรมครั้งนี้

วิถีชีวิตของคนไทยจะค่อยๆ เปลี่ยนเข้าสู่ 3 Smart โดยคาดว่าในช่วงปี 2563  โอเปอเรเตอร์หรือค่ายมือถือต่างๆ จะแข่งขันในเชิงของการทำตลาดมากกว่า ว่าแต่ละค่ายมีเครือข่าย 5G ให้บริการอย่างไรกันบ้าง

  • สมาร์ทซิตี้ (Smart City) การสร้างเมืองอัจฉริยะเพื่อทำให้คุณภาพของผู้อยู่อาศัยดีขึ้น
  • สมาร์ทไลฟ์ (Smart Life) คือ การใช้อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เพื่อทำให้การดำเนินชีวิตง่ายและสะดวกสบาย
  • สมาร์ทโฮม (Smart Home) เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่จะมีเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันนี้มีเพียงแค่กลุ่มทีวี เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก

สู่ยุคเริ่มต้นของ  AI แท้จริง

ที่ผ่านมาเราพูดถึง AI (Artificial intelligence) หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กันมานานมาก แต่ปี 2563 ประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่ยุคของการเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจาก AI จะใช้ได้ต้องมีการเก็บ Big Data และต้องใช้เทคโนโลยีเกิดการเรียนรู้ในระดับหนึ่ง

องค์กรของไทยเริ่มให้ความสำคัญกับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังขาดนักวิเคราะห์ Big Data ที่จะเชื่อมข้อมูล แต่ปี 2563 จะเริ่มเห็นความพร้อมและนำ AI มาใช้เพื่อทำ เพอร์ซันนัลไลซ์ มาร์เก็ตติ้ง (Personalized Marketing)  เป็นการทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจง เข้าถึงรายบุคคลที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นอกจากนี้โรงพยาบาลจะแข่งขันกันทางด้านแพลตฟอร์ม Big Data in healthcare หรือการนำข้อมูลของผู้ป่วยมาประมวลผลสุขภาพ พร้อมกับระบบการแจ้งเตือนให้เข้ารับการรักษาเพิ่มเติมตามวันและเวลาที่หมอนัด ซึ่งจะช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพไปได้ แต่ประเทศไทยยังไม่ได้พัฒนา AI ไปถึงขั้นการผ่าตัด

ซูเปอร์แอปฯ เกิด แอปทั่วไปตาย

อัตราการใช้แอปพลิเคชั่นของคนไทยโดยเฉลี่ย 9 แอปฯ บนมือถือนั้น ทำให้แอปฯ ที่มีเพียงฟังก์ชั่นการใช้งานเพียงอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์และล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก

และตอนนี้ซูเปอร์แอป หรือแอปที่รวบรวมการใช้งานหลายด้านเป็นทุกอย่างของไลฟ์สไตล์ ก็แจ้งเกิดมาเรียบร้อย เช่น Line Grab แอปธนาคารต่างๆ  ที่รวบรวมการบริการทั้งดูหนัง ฟังเพลง สั่งอาหาร เดินทาง นอกจากนี้ยังจับมือร่วมกับค้าปลีก เพื่อทำรอยัลตี้โปรแกรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำดาต้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค

เทรนด์การตลาดที่เริ่มเห็น อย่าง “The 1 Biz” แอปพลิเคชั่นของกลุ่มเซ็นทรัล เริ่มสร้างอีโคซิสเต็ม รอยัลตี้โปรแกรม สะสมแต้มและแลกของ เปิดโอกาสให้พันธมิตรนอกเครือผนึกกำลังจากปัจจุบัน มีร้านค้ากว่า 1,000 ร้านค้ารวมกว่า 600 แบรนด์ที่เข้าร่วม หรือสร้าง “The 1 Biz” เป็นแอปที่มีบริการใช้งานเพิ่มขึ้น

สรุป

เทคโนโลยีจะค่อยๆ เข้ามาเป็นเครื่องมือในระบบซัพพลายเชนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการผลิต โลจิสติกส์ ซึ่งปี 2563 เป็นยุคที่การใช้ Big Data เพิ่งเบ่งบานเท่านั้น โดยจะเห็นการแข่งขัน เพอร์ซันนัลไลซ์ มาร์เก็ตติ้ง (Personalized Marketing) ที่เป็นของแท้และรุนแรงเพื่อช่วงชิงกำลังการซื้อในภาวะที่เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยสู้ดี และแน่นอนว่าน่าจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มสมาร์ทโฮมจำนวนมากที่ออกมาทำตลาด เพื่อโหนกระแส 5G ที่จะเกิดขึ้น

Fujifilm X Webcam เสียบสาย USB ต่อกล้อง เข้าคอม ใช้เป็นเว็บแคมได้เลย

ข่าวดีสำหรับคนที่ต้อง Work From Home และต้องคุย Video Call บ่อยๆ เพราะ Fujifilm ได้ปล่อยซอร์ฟแวร์ใหม่ที่จะเปลี่ยนกล้อง mirrorless ให้เป็น webcam คุณภาพสูง

ผู้ที่ใช้งานกล้อง mirrorless ของ Fujifilm ซีรี่ส์ X และซีรี่ส์ GFX สามารถใช้กล้องของคุณเป็นกล้อง webcam ได้ โดยซอร์ฟแวร์ตัวนั้นชื่อว่า Fujifilm X Webcam ทำงานผ่านการเชื่อมต่อ USB เข้ากับคอมพิวเตอร์ แน่นอนว่ามันช่วยเรื่องคุณภาพของภาพได้มาก ด้วยความละเอียดของภาพจากกล้องที่สูงกว่ากล้อง webcam ที่ติดมากับคอมพิวเตอร์

Fujifilm X Webcam

กล้องที่ใช้งาน Fujifilm X Webcam มีดังนี้

  • กล้อง GFX ทุกรุ่น
  • กล้องรุ่น X-H1, X-Pro2, X-Pro3, X-T2, X-T3 และ X-T4

ดาวน์โหลดซอร์ฟแวร์ได้ฟรี  แต่ใช้งานได้แค่คอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows อย่างเดียวก่อน สำหรับผู้ใช้งาน Mac ต้องรอกันไปก่อน

โปรแกรมฟรีสำหรับเว็บแคม

1.OBS Studio

เป็นโปรแกรมสตรีมมิ่งและการบันทึกข้อมูลข้ามแพลตฟอร์มฟรีและโอเพนซอร์สซึ่งสร้างขึ้นโดย Qt และดูแลโดยโครงการ OBS มีเวอร์ชันสำหรับการแจกแจง Windows, macOS และ Linux เช่น Ubuntu

2.25Snagit

เป็นโปรแกรมจับภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณไปใช้ในงานต่างๆ โปรแกรม SnagIt มีการใช้งานหลายรูปแบบ จับภาพได้หลายบริเวณ เช่น เต็มจอ เฉพาะหน้าต่าง เลือกเอง

3.WebcamMax

เป็นโปรแกรมเพิ่มลูกเล่นให้กับ กล้องเว็บแคม Webcam เครื่องมือที่จะช่วยคุณในการใส่ลูกเล่นเอฟเฟค วีดีโอลงใน เว็บแคม ทุกประเภท ใช้กับโปรแกรมแชทได้ทุกตัว 

4.ManyCam

เป็นโปรแกรมฟรีแวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้เว็บแคมของตนกับการสนทนาทางวิดีโอและโปรแกรมสตรีมมิ่งวิดีโอได้หลายแบบพร้อมกันสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows และ Mac ผู้ใช้ยังสามารถเพิ่มเอฟเฟ็กต์และตัวกรองกราฟิกสดลงในฟีดวิดีโอ ManyCam Pro คือการอัพเกรดแบบชำระเงินทำให้ผู้ใช้มีตัวเลือกการผลิตวิดีโอได้มากขึ้น ManyCam

5.EpocCam

เป็นโปรแกรมเปิดกล้องวีดีโอบนมือถือสมาร์ทโฟน ใช้แทน Webcam หรือกล้องวงจรปิด เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi วงเดียวกัน เปิดดูหน้าจอบนคอมพิวเตอร์ ได้อย่างง่ายดาย