Slider
ดูหนังเอเชีย

ชนิดของกล้องเว็บแคม (Webcam)

ชนิดของกล้องเว็บแคม (Webcam)

กล้องเว็บแคม (Webcam) แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ แบบมีสาย และแบบไร้สาย โดยแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันดังนี้

กล้องเว็บแคม (WebCam) แบบมีสาย

จะมีความยุ่งยากในเรื่องการใช้สายต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่จะมีราคาถูกกว่าแบบไร้สายมาก ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมซื้อกล้องเว็บแคม (Webcam) แบบมีสายมาใช้งาน ข้อเสีย ของกล้องเว็บแคม (Webcam) แบบมีสาย คือ ทำให้ไม่สามารถวางตัวกล้องได้ไกลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้กล้องไม่สามารถจับภาพเคลื่อนไหวในระยะไกล ๆ ได้เหมือนแบบไร้สาย

กล้องเว็บแคม (Webcam) แบบไร้สาย

จะมีราคาค่อนข้างแพงมากเมื่อเทียบกับแบบมีสาย เนื่องจากตัวกล้อง ต้องใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายที่เรียกว่า Wireless WiFi หรือ IEEE 802.11 ที่ค่อนข้างมีต้นทุนสูง จึงส่งผลให้ตัวกล้องมีราคาแพงจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก จุดเด่น ของกล้องเว็บแคม (Webcam) แบบไร้สาย คือ สามารถนำไปติดตั้งที่จุดใดก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงระยะห่างระหว่างตัวกล้องกับคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบของกล้องเว็บแคม (Webcam)

โดยหลัก ๆ แล้ว การซื้อกล้องเว็บแคม (Webcam) มาใช้งาน จะเห็นว่ากล้องเว็บแคม (Webcam) ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้

  1. เลนส์กล้อง จะทำหน้าที่ในการจับภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวผ่านไปมาอยู่หน้ากล้องหรืออยู่ในตำแหน่งที่เลนส์กล้องสามารถมองเห็นภาพได้
  2. ตัวปรับระยะโฟกัส จะทำหน้าที่ในการปรับโฟกัสของภาพเพื่อให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น
  3. ฐานรองกล้อง มีไว้สำหรับเป็นที่ตั้งของตัวกล้องซึ่งช่วยให้เราสามารถวางกล้องบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้สะดวก

ประเภทของกล้อง

สัดส่วนของภาพที่อัดกระดาษออกมาตามมาตรฐาน คือ 4×6 นิ้ว ซึ่งเท่ากับว่าภาพมีสัดส่วน 1:1.5 กล้องดิจิตอลระดับมือสมัครเล่นจะมีสัดส่วนภาพอยู่ประมาณ 1600×1200 pixels หรือ 1:1.33 เพื่อให้เข้ากับจอมอนิเตอร์หรือ TV ทำให้เวลานำภาพไปอัดจึงต้องตัดส่วนภาพบนกระดาษไป ส่วนกล้องดิจิตอลระดับมืออาชีพ(จำพวก DSLR) จะมีสัดส่วนประมาณ 1:1.5 ซึ่งเท่ากับฟิล์มขนาด 35 มม.เวลานำไปอัดจึงไม่เป็นปัญหา
พูดถึงระดับของกล้องดิจิตอล ก็แบ่งเป็น 3 ระดับคือ

1.Compact – เป็นกล้องที่เน้นไปทาง สะดวกสบาย พกง่าย ถ่ายง่าย เรียกว่าอัตโนมัติแทบจะทั้งหมด แต่ปรับอะไรไม่ค่อยได้

ชนิดของกล้องและระบบของกล้อง, กล้องดิจิตอล, กล้อง, กล้องถ่ายรูป, ราคากล้องดิจิตอล, กล้องมือสอง, กล้องถ่ายรูปดิจิตอล, กล้อง digital
2.Prosumer – เป็นกล้องที่ระบบการทำงานดีขึ้นมาหน่อย เช่น มีระบบวัดแสง ชดเชยแสง ปรับความชัดผ่านเลนส์ ระบบ Manual การต่อ Flash ภายนอก ซึ่งทำให้ยืดหยุ่นต่อการใช้งานมากขึ้น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้

ชนิดของกล้องและระบบของกล้อง, กล้องดิจิตอล, กล้อง, กล้องถ่ายรูป, ราคากล้องดิจิตอล, กล้องมือสอง, กล้องถ่ายรูปดิจิตอล, กล้อง digital
3.Professional – เป็นกล้องระดับมืออาชีพที่คล้ายกับกล้อง SLR ในระบบฟิล์ม แต่เปลี่ยนจากการใช้ฟิล์มมาเป็นการใช้เซ็นเซอร์รับแสง ซึ่งระบบการทำงานสามารถปรับได้ทั้งหมดตามความสามารถของผู้ถ่าย

ประเภทของกล้องถ่ายรูป

สวัสดีครับ ผมเป็นนักเขียนหน้าใหม่(และมือใหม่) วันนี้มาเขียนบทความแรกครับ ผิดถูกยังไงก็ขอฝากให้คำติชมด้วยนะครับ

เอาล่ะครับ ตอนนี้หลายๆโรงเรียนก็สอบเสร็จกันแล้ว ปิดเทอมนี้เพื่อนๆคิดจะทำอะไรกันบ้าง บางคนก็ไปติว บางคนก็ไปเที่ยว บางคนก็ไปเข้าค่าย บางคนก็ทำกิจกรรมต่างๆ แต่สำหรับใครที่ยังไม่มีกิจกรรมอะไรทำ เราลองมาทำกิจกรรมนี้กันดีกว่า กิจกรรมนั้นคือ “การถ่ายภาพ”

ก่อนเราจะไปเข้าเรื่อง ผมขอออกตัวก่อนเลยนะครับว่า ผมก็เป็นเพียงคนที่ฝึกหัดด้านการถ่ายภาพ ไม่ได้มีฝีมืออะไรที่มากมาย แต่อยากช่วยแชร์ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ หากเรื่องใดที่ผมทราบ ก็จะตอบให้ แต่หากเรื่องใดที่ไม่ทราบ ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ

การจะถ่ายภาพต้องมี กล้องถ่ายรูป ใช่ไหมครับ ? วันนี้ผมจะมาบอกประเภทของกล้องถ่ายรูปกันก่อนเลย(ในบทความนี้จะกล่าวแค่กล้องดิจิตอลนะครับ)

1.กล้องคอมแพ็ค(Compact) เป็นกล้องที่ใช้งานง่ายมากครับ เพียงเปิด กดชัตเตอร์ ก็จะได้รูปออกมาชมแล้ว ^0^ กล้องจะมีขนาดเล็ก พกพาง่าย และเดี๋ยวนี้ สามารถแต่งภาพในกล้องได้ด้วย อีกทั้งยังมีความคมชัดที่มากด้วย แต่ไม่สามารถตั้งค่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพได้มาก และมีข้อจำกัดเรื่องการซูม(Zoom) ที่ซูมได้น้อย (แต่รุ่นใหม่ๆก็มีการซูมได้เยอะ)

2.กล้องโปรซูมเมอร์(Prosumer) เป็นกล้องที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น สามารถปรับตั้งค่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพได้มากขึ้น มีการซูมที่มากขึ้น และคุณภาพของภาพที่มากขึ้น บางรุ่นสามารถใส่อุปกรณ์เสริมได้ เช่น แฟลช ตัวเสริมเลนส์ แต่ก็มีข้อจำกัดในบางเรื่อง เช่น ปรับค่าที่ยังไม่สามารถปรับได้ทั้งหมด และกล้องประเภทนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้

3.กล้อง DSLR (Digital Single Lens Reflex) แปลตามตัวก็คือ กล้องดิจิตอลสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว จะเห็นได้ตามที่มืออาชีพใช้กัน เป็นกล้องที่มีขนาดใหญ่ ให้คุณภาพของภาพที่สูง และสามารถปรับค่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพได้ทุกอย่าง มีความยืดหยุ่นสูง และสามารถใส่อุปกรณ์เสริมได้หลายอย่าง และสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ซึ่งหมายความว่า ทำให้ได้ภาพที่หลากหลาย และคุณภาพของภาพที่มากขึ้นนั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน มีกล้องที่มีขนาดเล็ก และสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และคุณภาพใกล้เคียงกับกล้อง DSLR โดยกล้องชนิดนี้ถูกเรียกว่า กล้อง Mirrorless

ประเภทของกล้อง

1.กล้อง DSLR

ย่อมาจากชื่อเต็มว่า Digital Single-Lens Reflex หรือ กล้องดิจิตอลสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว กล้องที่สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้  มองผ่านเลนส์  มีกระจกสะท้อนภาพ  มีช่องมองภาพแบบออพติคอล  ได้ตรงตามที่เห็นและก็ยังสามารถมองที่จอ LCD โดยเป็นการมองเห็นจากสถานการณ์จริง  หลักๆDSLR จะมีเซ็นเซอร์อยู่2ขนาด คือ full frame และ APS-C Fullframe จะมีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่มาจากฟอร์แมทฟิลม์35มม. ส่วนAPS-Cที่เราเรียกว่ากล้องตัวคูณ คูณเพื่อให้เท่าขนาดของFull frame ซึ่งเซ็นเซอร์ใหญ่ก็จะได้เปรียบเรื่องของไฟล์ภาพที่ทีคุณภาพมากกว่า ราคาก็จะเริ่มต้นที่5หมื่นบาทขึ้นไป ส่วนAPS-Cเริ่มต้นประมาณหมื่นปลายๆ

2.กล้อง Digital

กล้องดิจิตอล (Digital Camera) คือ กล้องถ่ายรูปที่ไม่ต้องใช้ฟิล์ม ภาพที่ถ่ายได้จะถูกบันทึกแบบดิจิตอลโดยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในกล้อง โดยอยู่ในรูปแบบของไฟล์ภาพซึ่งสามารถส่งเข้าไปยังคอมพิวเตอร์เพื่อพิมพ์ออกมาเป็นภาพ กล้องดิจิตอล (Digital Camera) ส่วนใหญ่จะแบ่งตามการใช้งานของ CCD และลักษณะการใช้เลนส์ได้ 3 ประเภท

3.กล้องมือถือ

ยุคนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนใครๆต่างก็มีโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้กันทั้งนั้น และคุณสมบัติของกล้องถ่ายรูปที่เป็นอุปกรณ์อยู่ภายในโทรศัพท์มือถือในยุคนี้ก็ไม่ใช่เล่นๆนะครับ ได้คุณภาพที่ดีมากพอสมควรเลย เป็นก้าวแรกของใครหลายคนที่จะได้คุ้นเคยกับการเริ่มถ่ายรูปในตอนที่ไม่มีกล้องแบบจริงๆจังๆ แต่เมื่อเทียบกับกล้องอีกสามประเภทที่เหลือ คุณภาพก็ต่ำสุดอยู่ดีนะครับ แต่อนาคตอะไรก็ไม่แน่ทั้งนั้น ความน่ากลัวของกล้องมือถือในปัจจุบันให้คุณได้ตั้งแต่กล้องที่มีจำนวนความละเอียดสูงๆอย่าง Nokia Lumia ที่มากถึง 41 ล้านพิกเซล เรียกว่าระดับโดรนถ่ายลงมายังพอเห็นรายละเอียดของรถยนต์ หรือจะเป็น Huawei P20 Pro ที่เซ็นเซอร์ใหล่มากขึ้น หรือกล้องหลายๆค่ายที่เปิดให้แก้ไขไฟล์ได้อย่างเต็มที่ในรูปแบบของ RAW ซึ่งบอกได้เลยว่ามาไกลกว่ากล้องมือถือเมื่อสามสี่ปีที่แล้วอย่างมาก