Slider
ดูหนังเอเชีย

Twitter เปิดบริการใหม่สมัครสมาชิก ‘Blue’ ใหม่

Twitter ได้ระบุบริการสมัครสมาชิกใหม่ในร้านค้าแอปซึ่งบ่งชี้ว่ายักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียกำลังเตรียมที่จะทดลองใช้ข้อเสนอในเร็ว ๆ นี้ “Twitter Blue” ระบุว่าเป็นการซื้อในแอปราคา 2.49 ปอนด์ในสหราชอาณาจักรและ 2.99 ดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา Twitter ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมและปฏิเสธที่จะยืนยันการอ้างสิทธิ์ทางออนไลน์ว่าบริการนี้สามารถ

อนุญาตให้ผู้ใช้ “เลิกทำ” ทวีตได้ ก่อนหน้านี้กล่าวว่ากำลังทำงานกับคุณสมบัติพิเศษสำหรับสมาชิกแบบชำระเงิน Twitter บอกให้ผู้ใช้เป็นคนดีและคิดทบทวน Twitter พบอคติทางเชื้อชาติใน AI การครอบตัดรูปภาพ Twitter บอกให้ผู้ใช้เป็นคนดีและคิดทบทวน บริษัท จะไม่แสดงความคิดเห็นโดยตรงในรายชื่อ แต่เน้นไปที่ BBC ว่าก่อนหน้านี้ได้ประกาศแผนการที่จะกระจายแหล่งรายได้ไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้ “Twitter Blue” จะแสดงอยู่ในร้านค้าแอป แต่ก็ยังไม่ได้เปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์สำหรับผู้ใช้

ช่างภาพ ณัฐ ประกอบสันติสุข

โดยประวัติส่วนตัวแล้ว ณัฐ ประกอบสันติสุข ค้นพบโลกหลังเลนส์ของเขาหลังจากใช้เวลาถึง 8 ปีในวงการแฟชั่นในฐานะ Stylist “ผมจำได้ว่าผมยังรู้สึกขาดอะไรไปบางอย่างในชีวิต ผมเลยตัดสินใจว่าผมต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ จากการที่เราทำงานกับช่างภาพหลาย ๆ คน แล้วเราได้เห็นการทำงานของพวกเขา ผมเลยตัดสินใจเรียนต่อด้านการถ่ายภาพที่ลอนดอนเป็นเวลาหนึ่งปี ผมไม่มีปัญหาด้านการจัดองค์ประกอบความสวยงามของภาพหรือแนวความคิดเกี่ยวกับการถ่ายภาพอะไรพวกนั้น แต่ผมแทบไม่รู้เรื่องกลไกของกล้องเลย ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องเลนส์ เวลาเปิดรับแสง เอฟเฟกต์สี และแม้กระทั่งวิธีการล้างภาพในห้องมืดคือความท้าทายครั้งใหญ่” เขากล่าว

เขายังจำครั้งแรกที่เขาล้างรูปใบแรกของเขาได้ “ครั้งแรกที่ผมล้างรูปชุดแรกเสร็จ ผมผิดหวังกับภาพที่ได้มากถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยทีเดียว ผมได้แต่คิดว่าผมทำพลาดตรงไหน จากนั้นไม่กี่วันต่อมาผมได้รับภาพชุดที่สอง มันออกแบบในแบบที่ผมต้องการ ผมคิดว่านั่นคือชั่วขณะที่ผมเริ่มตกหลุมรักการถ่ายภาพ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากที่ผมสามารถถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในสมองออกมาได้โดยผ่านการถ่ายภาพ”

ในขณะที่เขาหยุดชะงักเมื่อถูกถามเรื่องการจัดหมวดหมู่หรือพูดถึงสไตล์งานของเขา คุณณัฐบอกว่าเขารับมือกับการถ่ายภาพเหมือนกับที่เขารับมือกับชีวิต “ด้วยจินตนาการของผม ความชอบผจญภัย และผมรักการอ่าน ดังนั้นมันก็เหมือนเวลาได้อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม เมื่อผมถ่ายภาพ ผมมีภาพจินตนาการในหัวของผมพร้อมด้วยตัวละครเอกและศัตรู เราอยู่ในธุรกิจที่ทำงานกับคน แน่นอนว่าเราอาจจะต้องทำเสื้อผ้าหรือผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามให้ดูดี แต่เราต้องคำนึงถึงผู้รับสารปลายทางด้วย เพื่อถ่ายทอดข้อความที่ต้องการผ่านภาพจินตนาการภาพหนึ่ง ภาพที่ท้าทายทั้งมุมมองและทัศนคติและอื่น ๆ อีกหลายด้าน นั่นเป็นเหตุผลที่ผมอ่านหนังสือเยอะมาก ผมต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ให้มากขึ้นและเพื่อที่จะทำให้ภาพของผมเต็มไปด้วยความรู้นั้น ๆ การถ่ายภาพที่ดีนั้นเป็นมากกว่าการสร้างภาพสวย ๆ ภาพหนึ่ง”

การดูแลรักษา กล้องฟิล์ม

กล้องฟิล์มคงเป็นกล้องที่ใครหลายคนหลงไหลไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม และเมื่อเรารักมันแล้วเราก็ไม่อยากให้มันเสียเราก็อยากเก็ยรักษามันไว้ให้นานๆ กล้องฟิล์ม เมื่อก่อนอาจจะเป็นของสะสมสำหรับนักสะสมทั่วไปหรือนักสะสมที่ชอบการถ่ายภาพโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันนี้ กล้องฟิล์ม ไม่ใช่แค่การสะสมอีกต่อไป กล้องฟิล์มถือเป็นหนึ่งในไอเทมที่วัยรุ่นต้องมี เพราะกล้องฟิล์มสำหรับสมัยนี้ กลายเป็นค่านิยม กลายเป็นแฟชั่นที่ทุกคนจะต้องมีติดตัว หรือเคยลองสัมผัสกันบ้าง ไม่งั้นละก็ตกยุคแน่ ๆ  การ ดูแลกล้องฟิล์ม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับมือใหม่

อุปกรณ์ในการทำความสะอาดเบื้องต้น

  • ลูกยางเป่าลม
  • ปากกาทำความสะอาดเลนส์

การทำความสะอาดทุกครั้งหลังใช้งาน!

ตัวกล้องนั้น ลุยกับเราไปทุกที่ ไม่ว่าเราจะไปเที่ยวไหนใช่มั้ยครับ ต้องดูแลกันหน่อย ซึ่งส่วน body ภายนอกนี่แหละ ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกัน ให้กับตัวกล้อง ทั้งตากแดด ตากฝน ยิ่งเวลาไปทะเลเจอลมแรงๆพัดตลอดเวลา ลมพวกนี้มีเกลือลอยตามมาด้วยนะ

ขั้นตอนที่ 1 ตัว Body กล้อง

ในส่วนนี้ให้แนะนำว่าให้ถอดเลนส์ออกจากตัวกล้องก่อน จะได้ถนัดๆ ใช้ลูกยางเป่าลมให้ทั่ว ให้ฝุ่นที่เกาะที่บอดี้ออกให้สะอาดที่สุด อย่าลืมเป่าไปจนถึงด้านใน Body ด้วยนะครับ ตรงนี้แนะนำเวลาเป่าเข้าไปด้านในกล้องให้คว่ำกล้องลงด้วย เพื่อให้ฝุ่นกระเด็นตกออกมาข้างนอก

ข้อควรระวัง

“ตรงนี้ต้องระวังหน่อยพยายามไปสัมผัสกับ Focusing Screen ที่อยู่ด้านบนกระจกสะท้อนภาพนะครับจะเป็นรอยเอาได้” จัดการให้หมดด้านนอกด้านใน ฝาปิด ห้องฟิล์ม

แล้วใช้ปากกาเช็ดเลนส์ด้านที่เป็นแปรงปัดฝุ่นให้สะอาดอีกทีครับ (หรือในตอนนี้หาแปรง Brush on ที่สาวๆใช้มาปัดก็ได้ แนะนำให้ซื้อใหม่นะ ไม่ใช่จะงานงอกเพราะโดนด่าอย่างเดียว แต่พวกเศษเครื่องสำอางจะไปติดแทน )

หลังจากสะอาดแล้ว ให้ใช้ผ้า Microfiber หรือ ผ้าเช็ดเลนส์ เช็ดตัวบอดี้อีกที หรือถ้ามีรอยเปือนไม่หนักมาก ก็ให้ใช้แตะสเตคลีนนิดเดียวมาขัด

ข้อควรระวัง

“เน้นอีกทีว่าแตะนิดเดียวนะ ให้เช็ดแต่ในส่วน Body ภายนอกของกล้องนะ และไม่ควรไปเช็ดในส่วนที่เป็นช่องมองภาพ หรือ Viewfinder ของกล้อง” เพื่อความสมจริงเราเอาภาพจริงมาเลยละกันเนอะ ถ้าตรงไหนนิ้วเราเข้าไม่ถึงก็ใช้แปรงสีฟันช่วยโลด

“ตรงนี้แนะนำว่าควรใช้แปรงสีฟันที่ผ่านการใช้งานมาแล้วจะดีกว่านะ เพราะขนจะนุ่มกว่าแปรงใหม่ๆ”

เคล็ดไม่ลับการเลือกซื้อเลนส์กล้องสำหรับมือใหม่

สมัยนี้ไม่ต้องรอให้เป็นช่างภาพก็สามารถถ่ายรูปให้สวยได้ และไม่ว่าจะทำเป็นช่างภาพมืออาชีพหรือมือสมัครเล่นหรือทำเป็นงานอดิเรกเราก็อยากมีกล้องดีและเลนกล้องที่ถ่ายภาพสวยๆวันนี้เราเลยจะมาบอกเทคนิคดีๆกัน เมื่อใดก็ตามที่กดชัตเตอร์ถ่ายภาพ เราหวังอยากได้ภาพที่สวยงาม คมชัด นักถ่ายภาพเองจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ เพื่อให้ภาพที่ออกมามีคุณภาพและได้ดังใจ นอกจากตัวกล้องและฝีมือของผู้ถ่ายภาพเองแล้ว เลนส์ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเลนส์กล้องแต่ละแบบจะตอบสนองการถ่ายภาพในลักษณะแตกต่างกันไป สำหรับมือใหม่ผู้เริ่มต้น เราขอแนะนำข้อคิดในการเลือกเลนส์ถ่ายภาพ เพื่อให้ท่านมีความสุขมากขึ้นกับการถ่ายภาพในครั้งต่อไป

1. ชอบถ่ายภาพแบบไหน

ความชอบในการถ่ายภาพแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบถ่ายภาพคน หรือ Portrait แนะนำเป็นประเภทเลนส์เทเลโฟโต้ หรือ เลนส์ฟิกซ์ หรือเลนส์ระยะโฟกัสคงที่ จะใช้การเดินในการกำหนดระยะ จะได้ภาพที่คมชัด สำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ ภาพนก หรือ Landscape ต้องการภาพที่มีมุมมองที่กว้าง ควรเลือกใช้เลนส์เทเลซูม หรือ เลนส์ไวด์

2.  เลนส์เดี่ยวหรือเลนส์ซูม

คุณสมบัติของเลนส์ฟิกหรือเลนส์ทางยาวโฟกัสเดียว อาจบอกได้ว่าเหมาะสำหรับมือใหม่ที่จะเริ่มต้นในการถ่ายภาพ เนื่องจากเป็นเลนส์ที่มีราคาไม่แพง ให้ภาพที่คมชัดเหมาะกับการถ่ายภาพคน ถ่ายได้แม้ในที่แสงน้อย ส่วนข้อดีของเลนส์ซูมคือสามารถถ่ายภาพได้หลากหลายกว่า สามารถปรับทางยาวโฟกัสได้ซึ่งก็เป็นเลนส์อีกตัวที่ควรมีไว้เช่นกัน

3. รูรับแสง

รูรับแสงเป็นระบบที่ควบคุมความสว่างของแสงที่เข้าสู่เลนส์ บริเวณที่มีแสงน้อยหรือแสงสลัวควรกำหนดค่ารูรับแสงให้กว่าขึ้น และหากบริเวณใดที่มีแสงสว่างมากการกำหนดรูรับแสงควรให้เล็กลง เหมาะสมกับค่าความเร็วชัตเตอร์เพื่อให้ภาพที่ได้มีความคมชัด สำหรับผู้มีงบจำกัดสามารถเริ่มต้นได้กับผู้ผลิตเลนส์อิสระหรือเลนส์ที่มีรูรับแสง F4 คงที่ หรือใช้เลนส์ของผู้ผลิตอิสระเลนส์ F2.8-4 ส่วนเลนส์ซูมที่มีค่า F น้อย จะมาพร้อมความสามารถในการโฟกัสได้ไวแม้สภาพแสงน้อย แต่ราคาก็สูงตามความสามารถ

4. ทดสอบเลนส์ก่อนซื้อ

เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อเลนส์แบบไหน ท่านสามารถนำกล้องไปที่ร้านเพื่อขอทดสอบเลนส์ซึ่งโดยปกติทางร้านจะอนุญาตอยู่แล้ว หรือจะขอเช่าเลนส์จากร้านที่มีบริการให้เช่าเลนส์ก็ได้ โดยการตรวจเช็คเบื้องต้น ให้ดูบริเวณโดยรอบข้างตัวเลนส์ควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ควรมีรอยขีดข่วน ควรดูบริเวณเลนส์ชิ้นหน้าสุดและหลังสุดว่ามีล่องรอยขีดข่วนหรือมีเชื้อราในบริเวณนี้หรือไม่ ทดสอบระบบการซูมและระบบโฟกัสของเลนส์ว่าการทำงานเป็นปกติ และไม่มีเสียงดังที่ผิดปกติ ตรวจสอบการทำงานของรูรับแสง โดยการปรับค่า f-stop ในค่าต่างๆ เพื่อดูการสั่งงานของเลนส์ว่ามีปัญหาหรือไม่

เลนส์กล้องมีกี่ประเภท ? สิ่งสำคัญที่ช่างภาพมือใหม่ควรรู้

เลนส์กล้อง

ชวนช่างภาพมือใหม่มาไขข้อข้องใจว่า จริง ๆ แล้ว เลนส์กล้องมีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับการใช้ถ่ายภาพแบบไหน

เชื่อเลยว่าช่างภาพมือใหม่หลาย ๆ คนอาจจะสับสนไม่น้อย เมื่อถึงเวลาที่ต้องการหาเลนส์ใหม่ ๆ มาใช้ เพราะอยากได้ภาพถ่ายที่มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งพอถึงเวลาต้องเลือกเลนส์จริง ๆ กลับไม่รู้เลนส์แบบไหนเหมาะกับสไตล์การถ่ายภาพของตัวเอง รวมถึงกล้องที่มีอยู่ด้วย ดังนั้นเราเลยนำเรื่องประเภทของเลนส์มาฝากกันครับ

เลนส์กล้องแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

เลนส์กล้อง

1. เลนส์ไพร์ม (Prime Lens) คือเลนส์ที่มีระยะโฟกัสตายตัวแค่ช่วงเดียวเท่านั้น แต่จะให้ภาพที่คมชัด มีให้เลือกตั้งแต่ระยะไวด์ไปถึงเทเล เช่น 24 มม., 85 มม., และ 100 มม. เป็นต้น ซึ่งมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา ช่วยให้พกพาสะดวก เพราะมีจำนวนชิ้นเลนส์น้อย

เลนส์กล้อง

2. เลนส์ซูม (Zoom Lens) เป็นเลนส์ที่สามารถปรับระยะซูมได้หลายช่วงในเลนส์เดียว เช่น 16-35 มม. และ 70-300 มม. ภายในเลนส์ประกอบด้วยชิ้นเลนส์หลายชิ้น เพื่อประสิทธิภาพในการซูม ส่งผลให้ตัวเลนส์มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ

เลนส์กล้องแบ่งตามระยะโฟกัส

เลนส์กล้อง
เลนส์กล้อง

1. เลนส์มาตรฐาน (Normal Lens) คือเลนส์ที่มีความยาวโฟกัสในระยะปกติ ให้ภาพถ่ายที่มีระยะพอดีกับการมองด้วยตาเปล่า โดยเลนส์มาตรฐานจะมาพร้อมกับระยะโฟกัส 50 มม. จึงเป็นเลนส์ที่เหมาะสำหรับใช้ถ่ายภาพทั่วไป หรือจะเรียกอีกอย่างว่าเลนส์ฟิกซ์ 50 ก็ได้เช่นกัน

เลนส์กล้อง
เลนส์กล้อง

2. เลนส์เทเลโฟโต (Telephoto Lens) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าเลนส์เทเล เป็นเลนส์มุมแคบที่เหมาะกับใช้ในการเก็บภาพระยะไกล เพราะสามารถซูมเข้าหาวัตถุได้ โดยเลนส์ประเภทนี้มีให้เลือกหลายระยะ เช่น 55-300 มม., 70-300 มม., 80-200 มม., และ 200-400 มม. เป็นต้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังใช้สำหรับการถ่ายภาพพอร์เทรตด้วย เพราะสร้างเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอได้นั่นเอง

เลนส์กล้อง
เลนส์กล้อง

3. เลนส์ไวด์ (Wide Angle Lens) คือเลนส์มุมกว้างที่นิยมใช้ในการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ เพราะเก็บรายละเอียดภาพได้ครบถ้วน โดยมีระยะโฟกัสให้เลือกหลายช่วงเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น 10-24 มม., 11-16 มม., และ 18-35 มม. ไม่เพียงเท่านี้ เลนส์ไวด์ยังเป็นเลนส์ที่เหมาะกับการใช้ถ่ายภาพคอนเสิร์ตหรืออีเว้นต์ต่าง ๆ ด้วย เนื่องจากเก็บภาพได้ครอบคลุม แต่ก็มีข้อเสียอยู่ที่ความเพี้ยนของภาพ ซึ่งเกิดจากขอบภาพที่โค้งกว่าเลนส์แบบอื่น

เลนส์กล้อง
เลนส์กล้อง

4. เลนส์ฟิชอาย (Fisheye Lens) ลักษณะที่สังเกตได้ชัดของเลนส์ประเภทนี้คือ หน้าเลนส์จะกลมและนูนคล้ายตาปลา สามารถเก็บภาพในมุมกว้างสุดถึง 180 องศาเลยทีเดียว ซึ่งให้ภาพที่ดูแปลกตา พร้อมกับมีระยะโฟกัสให้เลือกทั้งแบบเดี่ยวและซูม เช่น 4.5 มม., 8 มม., และ 10-17 มม.

เลนส์กล้อง
เลนส์กล้อง

5. เลนส์มาโคร (Macro Lens) เป็นเลนส์ที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพวัตถุหรือแมลงที่มีขนาดเล็ก รวมถึงดอกไม้ด้วย ซึ่งทำให้เห็นรายละเอียดของสิ่งนั้นได้อย่างชัดเจน โดยมีระยะให้เลือก เช่น 65 มม., 90 มม., และ 105 มม. เป็นต้น

เลนส์กล้อง
เลนส์กล้อง

6. เลนส์ฟิกซ์ (Fixed Lens) คือเลนส์ที่มีระยะโฟกัสแค่ช่วงเดียว ไม่สามารถซูมเข้า-ออกได้ แต่มีจุดเด่นอยู่ที่รูรับแสง ซึ่งมีขนาดกว้างกว่าเลนส์แบบอื่นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ f/2.8 หรือ f/3.5 ขึ้นไป แต่เลนส์ฟิกซ์จะเริ่มที่ f/1.4 หรือ f/1.8 โดยเลนส์บางรุ่นมีรูรับแสงกว้างถึง f/0.95 เลยทีเดียว โดยมีระยะโฟกัสยอดฮิต เช่น 35 มม., 50 มม., และ 85 มม.

เมื่อได้ทราบอย่างนี้แล้ว ใครที่กำลังมองหาเลนส์กล้องตัวใหม่อยู่ละก็ ลองทำความเข้าใจการใช้งานเบื้องต้นของเลนส์แต่ละประเภทกันก่อนดีกว่า เพราะเลนส์กล้องมีราคาค่อนข้างแพงนั่นเอง ที่สำคัญ เพื่อที่สุดท้ายแล้วคุณจะได้เลนส์กล้องที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดยังไงล่ะครับ

เลนส์กล้องมีกี่ประเภท ? สิ่งสำคัญที่ช่างภาพมือใหม่ควรรู้

ความรู้เรื่องกล้อง ประเภทกล้อง

9 แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ในปี 2021 บทวิเคราะห์จาก Gartner

9 แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ในปี 2021 บทวิเคราะห์จาก Gartner

ใกล้จะถึงสิ้นปี 2020 แล้ว จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ด้วยสถานการณ์โรคไวรัสระบาด COVID-19 ที่บังคับให้เราต้องเข้าสู่วิถีการใช้ชีวิตในรูปแบบ New normal ซึ่งบางส่วนก็นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนไปเลย และด้วยการปรับตัวของมนุษย์ในครั้งนี้ ทำให้ช่วยเสริมให้มีการสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ โดยเทคโนโลยีบางตัวก็จะได้รับการสนับสนุนจาก องค์กรภาครัฐ เอกชน และธุรกิจต่าง ๆ อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะถูกนำไปใช้ต่อในปี 2021 ด้วย

Gartner  บริษัทวิจัยและผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำของโลก ได้วิเคราะห์เกี่ยวกับกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีที่จะมีผลจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมทั่วโลก โดย Gartner วิเคราะห์ว่า จะมี  9 แนวโน้มกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจริงในปี 2021 ข้างหน้านี้ ซึ่งจะมีดังต่อไปนี้

  • Internet of Behavior (IoB)
  • Total Experience
  • ระบบคลาวด์แบบกระจายคืออนาคตของ Cloud
  • Anywhere operations
  • Cybersecurity Mesh
  • Intelligent composable business
  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • Hyperautomation

โดยรายละเอียดในแต่ละเทรนด์มีดังต่อไปนี้

1. Internet of Behavior (IoB)

ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบหลาย ๆ ด้าน การใช้ Internet of Behavior (IoB) เข้ามาช่วยก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจาก Internet of Behavior (IoB) จะเป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลาย ๆ แห่งมาผสมผสานเทคโนโลยีหลายแบบเข้าด้วยกัน จุดประสงค์เพื่อใช้ในการติดตามตำแหน่ง จดจำใบหน้า ตรวจจับพฤติกรรม เช่น ติดตามพนักงานให้ปฏิบัติตามกฏบริษัท หรือ เฝ้าระวังด้านสุขภาพของพนักงานในช่วงการแพร่ระบาดไวรัส ซึ่งการมีเทคโนโลยีแบบนี้ก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย สำหรับข้อเสียข้อใหญ่นั่นก็คือ อาจจะขัดต่อหลักจริยธรรมได้ เนื่องจากสามารถละเมิดความเป็นส่วนตัวของคนอื่น ไม่แน่ว่าปี 2021 อาจจะมีการปรับปรุงพัฒนา เพื่อทำให้สามารถนำมาใช้งานได้ตามขอบเขตข้อกฏหมายที่กำหนดในแต่ละประเทศนั้น ๆ ก็ได้

2. Total Experience

เป็นการผสมผสานประสบการณ์ทั้งหมดตั้งแต่พนักงาน ผู้บริหาร ลูกค้า เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงทางผลลัพธ์ธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพราะในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา มีผลกระทบที่ทำให้ขาดรายได้ ขาดช่องทางในการขาย ไม่สามารถติดต่อลูกค้าได้โดยตรง สิ่งนี้เองที่จะทำให้องค์กร นำมาปรับใช้ในการดำเนินการธุรกิจ ให้สามารถฟื้นฟูและกลับมายืนต่อได้ โดยอาจจะต้องใช้เทคโนโลยีหรือระบบไอทีใด ๆ เข้ามาช่วยนั่นเอง

3. Privacy-Enhancing Computation

การป้องกันข้อมูลที่ถูกเก็บไว้แล้วจะไม่เพียงพออีกต่อไป องค์กรต้องหาทางปกป้องข้อมูลที่กำลังถูกประมวลผลด้วย และภายในปี 2025 บริษัทใหญ่เกินครึ่งจะต้องเพิ่มความสามารถ เพื่อให้สามารถประมวลผลข้อมูลในสภาพแวดล้อมที่ไม่น่าเชื่อถือและมีผู้เกี่ยวข้องหลายส่วนแบบให้มีทั้งเรื่อง Privacy และ Security

4. ระบบคลาวด์แบบกระจายคืออนาคตของ Cloud

ระบบคลาวด์แบบกระจายคือ บริการคลาวด์ที่กระจายไปยังสถานที่ตั้งที่แตกต่างกันไป แต่การดำเนินการ และการกำกับดูแลรวมถึงการพัฒนา ยังคงเป็นความรับผิดชอบของผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะ ระบบคลาวด์จะทำให้องค์กรสามารถลดต้นทุน ลดความซับซ้อน และช่วยรองรับกฎหมายที่กำหนดให้ การเก็บข้อมูลบนคลาวด์จะต้องอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่เฉพาะเจาะจง

5. การทำงานที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่จริง ๆ
( Anywhere operations )

จากเหตุการณ์ COVID-19 ที่ผ่านมาทำให้หลายองค์กรมีการปรับตัว และวางรูปแบบการดำเนินงานที่สามารถให้บุคลากรสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ จากการใช้ IT infrastructure ที่เริ่มตั้งแต่การวางแผนโครงสร้างด้านไอทีที่มั่นคง เพราะรูปแบบการทำงานที่ไหนก็ได้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้า และผู้ร่วมงานในพื้นที่ที่ห่างไกลได้ง่าย

รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงที่ดีคือ ดิจิทัลระยะไกล เช่น ธนาคารที่ให้บริการแบบดิจิทัลโดยจัดการทุกอย่างตั้งแต่การโอนเงินไปจนถึงการเปิดบัญชีแบบดิจิทัล เป็นต้น

6. Cybersecurity mesh

คือหลักการที่ว่า อนุญาตให้ใครก็ตามสามารถเข้าถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ขององค์กร เช่น ข้อมูล เอกสาร หรืออุปกรณ์ไอที เป็นต้น ได้อย่างปลอดภัย ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงทรัพย์สินทางดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยที่ทรัพย์สินจำนวนมากที่อยู่ภายนอกเขตรักษาความปลอดภัยแบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตจะสามารถกำหนดขอบเขตความปลอดภัยได้

7. Intelligent composable business

ธุรกิจที่ชาญฉลาดคือ ธุรกิจที่สามารถปรับตัวได้ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ ที่เร่งกลยุทธ์ทางธุรกิจดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีความคล่องตัวและการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในการดำเนินการให้ประสบความสำเร็จ องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องเปิดใช้งานการเข้าถึงข้อมูลได้ดียิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และมีความสามารถในการตอบสนองต่อข้อมูลเชิงลึกได้อย่างรวดเร็ว

8. วิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์

กลยุทธ์ทางวิศวกรรม AI ที่มีประสิทธิภาพจะเพิ่มความสามารถในการตีความและความน่าเชื่อถือของโมเดล AI และมอบคุณค่าของการลงทุน AI อย่างเต็มที่ โครงการ AI มักประสบปัญหาเกี่ยวกับการบำรุงรักษา การปรับขนาดและการกำกับดูแลซึ่งทำให้เป็นความท้าทายสำหรับองค์กรส่วนใหญ่

วิศวกรรม AI นำเสนอเส้นทางทำให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ DevOps แทนที่จะเป็นโครงการเฉพาะและแยกต่างหาก เป็นการรวบรวมสาขาวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันเพื่อควบคุมความน่าเชื่อถือ

9. Hyperautomation ระบบอัตโนมัติที่เพิ่มมากขึ้น

Hyperautomation คือ แนวคิดที่ว่าทุกอย่างในองค์กรถ้าสามารถทำให้เป็นอัตโนมัติได้ ควรจะทำให้มันเป็นอัตโนมัติ เป็นการใช้ Big Data และพัฒนา AI อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อให้ได้ ประสิทธิภาพประสิทธิผลและความคล่องตัวทางธุรกิจมากยิ่งขึ้น องค์กรไหนที่ยังไม่เน้นเรื่องดังกล่าวจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในที่สุด

ปี 2020 ที่กำลังจะผ่านไป มีเรื่องต่าง ๆ มากมาย แผนกลยุทธ์ที่วางไว้ปีที่แล้วแทบไม่สามารถนำมาใช้ได้ หลัก ๆ คงเป็นเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสบนโลกจริง แต่ธุรกิจยังต้องดำเนินต่อไปการคาดการณ์เป็นสิ่งจำเป็น แต่สิ่งที่ควรคิดควบคู่ไปด้วยคือเรื่องความปลอดภัยสารสนเทศ เพราะทิศทางที่วางแผนไว้ความปลอดภัยควรมีควบคู่ไปด้วยเช่นกัน สำหรับองค์กรที่ต้องการวางแผนด้านความปลอดภัย สามารถให้ทีมงาน CAT cyfence เป็นที่ปรึกษาได้ เรื่องความปลอดภัยทีมงานพร้อมดูแลด้านความปลอดภัยให้เอง

เทรนด์เทคโนโลยี 2020 พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัล และวิถีชีวิต 3 Smart ของคนไทย

เทรนด์เทคโนโลยี 2020 ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยและเข้ามาพลิกโฉมเศรษฐกิจและทำให้วิถีชีวิตของคนไทยดีขึ้น ที่น่าจับตามอง และองค์กรต่างๆ ต้องปรับตัวอย่างไรกันบ้าง เมื่อมีความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

โกศล ทรัพย์ประเสริฐ ที่ปรึกษา บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด(มหาชน) พูดถึงเทรนด์ในปี 2020 เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่มาแรงมากขึ้น เพราะคนใส่ใจสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มองถึงการสร้างความยั่งยืนให้กับโลก

เทคโนโลยีแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีที่มาแน่นอน คือ แก็ดเจ็ตที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์สำหรับการใช้งานทั่วไปของผู้บริโภค อาทิ แก็ดเจ็ตสำหรับป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่มีคลื่นแม่เหล็กเพื่อบล็อกโมลีกุลของฝุ่น ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์เข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้ดียิ่งขึ้น

อุปกรณ์ที่น่าสนใจอีกหนึ่งตัว คือ แก็ดเจ็ตการรีไซเคิลที่ชื่อว่า The Recycling Identifying Device หรือเรียกว่า R.I.D. อุปกรณ์ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบว่าชิ้นส่วนของบรรจุภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้หรือไม่ เพื่อช่วยลดปัญหาขยะที่ล้นโลกอยู่ในขณะนี้

นอกจากนี้สิ่งที่เห็นในการทำตลาด จะเริ่มมีแบรนด์ต่างๆ ออกมาแสดงจุดยืนถึงการเป็นแบรนด์รักษ์โลก ไม่ว่าจะเป็น โคคา โคล่า ประกาศ ประกาศเปลี่ยน “สไปรท์” เป็นขวดใส เพื่อการจัดเก็บรีไซเคิล หรือกระทั่งบาร์บีคิว พลาซ่า เปิดบริการเดลิเวอรี่ เสิร์ฟอาหารถึงบ้านแถมรักษ์โลก โดยใช้ภาชนะที่ย่อยสลายได้

ภาพ : Shutterstock

ใช้มาร์เก็ตติ้งเทคโนโลยีดันยอด

ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในปี 2562 ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่ แอร์แม็ส (Hermès) นำสินค้ามาลดราคา หรือกระทั่งนาฬิกา โรเล็กซ์ (Rolex) ต้องทำการตลาดเชิงรุก สะท้อนว่าแบรนด์ใหญ่เริ่มขายสินค้าได้น้อยลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ธุรกิจจึงต้องใช้มาร์เก็ตติ้งเทคโนโลยีเพื่อผลักดันยอดขายให้มากขึ้น โดยการใช้งานจะไม่ได้หลับหูหลับตาใช้แต่จะเป็นการใช้ที่แมทกับเรียลดีมานต์ ซึ่งจะสร้างคอนเวอร์ชัน (Conversion) คือ การทำแคมเปญโฆษณาที่มีวัตถุประสงค์ให้กลุ่มหมายเกิดการซื้อสินค้าหรือบริการมากกว่าจะเป็นแค่สร้างการรับรู้แต่เพียงอย่างเดียว

ภาพ : Shutterstock

5G จุดเปลี่ยนประเทศไทย

วีรเดช พาณิชย์วิสัย ผู้จัดการฝ่ายการวิจัยด้านโทรคมนาคม และการสื่อสาร บริษัท ไอดีซี ประเทศไทย จำกัด เล่าว่า เทคโนโลยี 5G ซึ่งมีความเร็วมากกว่า 4G ถึง 100 เท่า และประเทศไทยกำลังได้ใช้ 5G ในช่วงกลางปี 2563 ในบางพื้นที่นั้น

ไอดีซีคาดการณ์ว่าการใช้งานจริงๆ ของประเทศไทยจะเกิดขึ้นในปี 2564 จุดเปลี่ยนของประเทศไทยเมื่อมี 5G  องค์กรใหญ่จะนำเทคโนโลยีไอโอทีมาใช้ภายในโรงงานปี 2565 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในขณะที่แรงงานที่ทักษะต่ำจะได้รับผลกระทบจากการทรานส์ฟอร์เมชั่นในอุตสาหกรรมครั้งนี้

วิถีชีวิตของคนไทยจะค่อยๆ เปลี่ยนเข้าสู่ 3 Smart โดยคาดว่าในช่วงปี 2563  โอเปอเรเตอร์หรือค่ายมือถือต่างๆ จะแข่งขันในเชิงของการทำตลาดมากกว่า ว่าแต่ละค่ายมีเครือข่าย 5G ให้บริการอย่างไรกันบ้าง

  • สมาร์ทซิตี้ (Smart City) การสร้างเมืองอัจฉริยะเพื่อทำให้คุณภาพของผู้อยู่อาศัยดีขึ้น
  • สมาร์ทไลฟ์ (Smart Life) คือ การใช้อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เพื่อทำให้การดำเนินชีวิตง่ายและสะดวกสบาย
  • สมาร์ทโฮม (Smart Home) เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่จะมีเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันนี้มีเพียงแค่กลุ่มทีวี เครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก

สู่ยุคเริ่มต้นของ  AI แท้จริง

ที่ผ่านมาเราพูดถึง AI (Artificial intelligence) หรือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กันมานานมาก แต่ปี 2563 ประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่ยุคของการเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจาก AI จะใช้ได้ต้องมีการเก็บ Big Data และต้องใช้เทคโนโลยีเกิดการเรียนรู้ในระดับหนึ่ง

องค์กรของไทยเริ่มให้ความสำคัญกับมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังขาดนักวิเคราะห์ Big Data ที่จะเชื่อมข้อมูล แต่ปี 2563 จะเริ่มเห็นความพร้อมและนำ AI มาใช้เพื่อทำ เพอร์ซันนัลไลซ์ มาร์เก็ตติ้ง (Personalized Marketing)  เป็นการทำตลาดแบบเฉพาะเจาะจง เข้าถึงรายบุคคลที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นอกจากนี้โรงพยาบาลจะแข่งขันกันทางด้านแพลตฟอร์ม Big Data in healthcare หรือการนำข้อมูลของผู้ป่วยมาประมวลผลสุขภาพ พร้อมกับระบบการแจ้งเตือนให้เข้ารับการรักษาเพิ่มเติมตามวันและเวลาที่หมอนัด ซึ่งจะช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพไปได้ แต่ประเทศไทยยังไม่ได้พัฒนา AI ไปถึงขั้นการผ่าตัด

ซูเปอร์แอปฯ เกิด แอปทั่วไปตาย

อัตราการใช้แอปพลิเคชั่นของคนไทยโดยเฉลี่ย 9 แอปฯ บนมือถือนั้น ทำให้แอปฯ ที่มีเพียงฟังก์ชั่นการใช้งานเพียงอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์และล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก

และตอนนี้ซูเปอร์แอป หรือแอปที่รวบรวมการใช้งานหลายด้านเป็นทุกอย่างของไลฟ์สไตล์ ก็แจ้งเกิดมาเรียบร้อย เช่น Line Grab แอปธนาคารต่างๆ  ที่รวบรวมการบริการทั้งดูหนัง ฟังเพลง สั่งอาหาร เดินทาง นอกจากนี้ยังจับมือร่วมกับค้าปลีก เพื่อทำรอยัลตี้โปรแกรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำดาต้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค

เทรนด์การตลาดที่เริ่มเห็น อย่าง “The 1 Biz” แอปพลิเคชั่นของกลุ่มเซ็นทรัล เริ่มสร้างอีโคซิสเต็ม รอยัลตี้โปรแกรม สะสมแต้มและแลกของ เปิดโอกาสให้พันธมิตรนอกเครือผนึกกำลังจากปัจจุบัน มีร้านค้ากว่า 1,000 ร้านค้ารวมกว่า 600 แบรนด์ที่เข้าร่วม หรือสร้าง “The 1 Biz” เป็นแอปที่มีบริการใช้งานเพิ่มขึ้น

สรุป

เทคโนโลยีจะค่อยๆ เข้ามาเป็นเครื่องมือในระบบซัพพลายเชนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการผลิต โลจิสติกส์ ซึ่งปี 2563 เป็นยุคที่การใช้ Big Data เพิ่งเบ่งบานเท่านั้น โดยจะเห็นการแข่งขัน เพอร์ซันนัลไลซ์ มาร์เก็ตติ้ง (Personalized Marketing) ที่เป็นของแท้และรุนแรงเพื่อช่วงชิงกำลังการซื้อในภาวะที่เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยสู้ดี และแน่นอนว่าน่าจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มสมาร์ทโฮมจำนวนมากที่ออกมาทำตลาด เพื่อโหนกระแส 5G ที่จะเกิดขึ้น

10 เทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในปี 2020

10 เทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในปี 2020

การ์ทเนอร์ระบุถึงแนวโน้มเทคโนโลยีที่สำคัญซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต โดยตอนนี้ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นและคาดว่าจะได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายและสร้างแรงกระเพื่อมในวงกว้างมากขึ้น หรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วจนถึงระดับสูงสุดในช่วงอีก 5 ปีข้างหน้า

10 แนวโน้มเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดสำหรับปี 2020

Hyperautomation

Hyperautomation เป็นการผสานรวมเทคโนโลยี Machine Learning (ML), ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป และเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับระบบงานอัตโนมัติเข้าไว้ด้วยกันเพื่อรองรับการทำงาน ไฮเปอร์ออโตเมชั่นนอกจากจะครอบคลุมเครื่องมือที่หลากหลายแล้ว ยังครอบคลุมทุกขั้นตอนของระบบงานอัตโนมัติ (ค้นหา วิเคราะห์ ออกแบบ ดำเนินการโดยอัตโนมัติ ตรวจวัด กำกับดูแล และประเมินผล) การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกที่หลากหลายของระบบอัตโนมัติ รวมถึงความเกี่ยวข้องกันของกลไกเหล่านี้ และแนวทางการผสานรวมกลไกต่าง ๆ เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืนถือเป็นหัวใจสำคัญของไฮเปอร์ออโตเมชั่น เทรนด์ดังกล่าวเริ่มต้นจากกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติ (Robotic Process Automation – RPA) อย่างไรก็ตาม ลำพังเพียงแค่ RPA ไม่ถือว่าเป็นไฮเปอร์ออโตเมชั่น เพราะระบบไฮเปอร์ออโตเมชั่นจำเป็นต้องอาศัยการผสานรวมเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่แทนมนุษย์

Multiexperience

จนถึงปี 2571 ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในส่วนที่เกี่ยวกับวิธีที่ผู้ใช้รับรู้และสัมผัสกับโลกดิจิทัล รวมถึงวิธีการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับโลกดิจิทัล แพลตฟอร์มการสนทนา (Conversational Platforms) ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับรูปแบบการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับโลกดิจิทัล ขณะที่ Virtual reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Mixed Reality (MR) ทำให้รูปแบบการรับรู้และสัมผัสกับโลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทั้งในส่วนของรูปแบบการรับรู้และการมีปฏิสัมพันธ์จะนำไปสู่ประสบการณ์แบบพหุประสาทสัมผัส (Multisensory) ในหลากหลายรูปแบบ (Multimodal)

Democratization of Expertise Democratization

การเปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค (เช่น ML, การพัฒนาแอพพลิเคชั่น) หรือความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจ (เช่น กระบวนการขาย การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์) ผ่านประสบการณ์ที่เรียบง่ายกว่าเดิม และไม่จำเป็นต้องเข้ารับการฝึกอบรมที่ยาวนานและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น นักพัฒนาทั่วไปที่สามารถทำหน้าที่เป็นดาต้า ไซแอนทิส (Data Scientists) หรือผู้ติดตั้งระบบโดยไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือสามารถพัฒนาโปรแกรมหรือสร้างโมเดลข้อมูลโดยไม่ต้องเขียนโค้ด

จนถึงปี 2566 การ์ทเนอร์คาดว่า 4 ปัจจัยที่สำคัญที่เป็นตัวเร่งแนวโน้ม Democratization ให้เกิดขึ้น ได้แก่ Democratization ในด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ (เครื่องมือที่ใช้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจะขยายไปสู่ชุมชนนักพัฒนาระดับมืออาชีพ), การพัฒนา (ใช้เครื่องมือ AI ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น), การออกแบบ (ขยายไปสู่กระบวนการที่ไม่ต้องมีการเขียนโค้ดหรือใช้โค้ดน้อยมาก โดยอาศัยฟังก์ชั่นการพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพิ่มเติมที่ทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพให้แก่นักพัฒนาทั่วไป) และความรู้ (บุคลากรที่ไม่ได้อยู่ในสายงานไอทีสามารถใช้เครื่องมือและระบบความเชี่ยวชาญเพื่อปรับใช้ทักษะเฉพาะด้าน) Human Augmentation

Human Augmentation

เป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงทางด้านการรับรู้และกายภาพ โดยเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ของผู้ใช้ Augmentation ในด้านกายภาพจะช่วยปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงขีดความสามารถของมนุษย์ ด้วยการปลูกถ่ายหรือติดตั้งส่วนประกอบทางด้านเทคโนโลยีไว้บนร่างกายของมนุษย์ เช่น อุปกรณ์สวมใส่ ส่วน Augmentation ในด้านการรับรู้จะอาศัยการเข้าถึงข้อมูลและการใช้แอพพลิเคชั่นบนระบบคอมพิวเตอร์ทั่วไป รวมถึงอินเทอร์เฟซแบบ Multiexperience ในสภาพแวดล้อมของสมาร์ทสเปซ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า จะมีการยกระดับ Human Augmentation ทั้งด้านกายภาพและการรับรู้ โดยจะได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายเพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของผู้ใช้ และจะนำไปสู่กระแส “Consumerization” รูปแบบใหม่ ซึ่งพนักงานจะพยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างและขยายขีดความสามารถและประสบการณ์ของตนเอง และปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานภายในสำนักงาน

Transparency and Traceability

ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้เพิ่มมากขึ้นว่าข้อมูลส่วนตัวของตนมีมูลค่า และดังนั้นจึงต้องการที่จะควบคุมข้อมูลดังกล่าว องค์กรต่าง ๆ รับรู้ถึงความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นของการปกป้องและจัดการข้อมูลส่วนตัว ขณะที่รัฐบาลเริ่มบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดเพื่อให้มีการคุ้มครองและจัดการข้อมูลดังกล่าวอย่างเหมาะสม ความโปร่งใส (Transparency) และการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนจริยธรรมทางดิจิทัล (Digital Ethics) และการปกป้องความเป็นส่วนตัว ความโปร่งใสและการตรวจสอบย้อนกลับหมายรวมถึงแนวคิด การดำเนินการ เทคโนโลยีที่รองรับ และแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อรองรับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และสนับสนุนแนวทางที่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมสำหรับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดความน่าเชื่อถือของบริษัทต่าง ๆ องค์กรที่พยายามจะสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือจำเป็นที่จะต้องมุ่งเน้น 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ (1) AI และ ML; (2) การเก็บรักษา การครอบครอง และการควบคุมข้อมูลส่วนตัว และ (3) การออกแบบที่สอดคล้องกันตามหลักจริยธรรม การเพิ่มขีดความสามารถให้กับส่วนขอบของเครือข่าย (Empowered Edge)

เอดจ์คอมพิวติ้ง (Edge Computing)

เป็นโครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่จัดวางการประมวลผลข้อมูลและการรวบรวมและนำเสนอคอนเทนต์ไว้ใกล้กับแหล่งที่มา คลังข้อมูล และผู้ใช้ข้อมูลดังกล่าว โดยพยายามที่จะทำให้แทรฟฟิกและการประมวลผลอยู่ในเครือข่ายโลคอล เพื่อลดความหน่วง ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ส่วนขอบของเครือข่าย และเพิ่มอำนาจในการควบคุมและตัดสินใจให้กับระบบที่อยู่ส่วนขอบของเครือข่าย

ความสนใจเอดจ์คอมพิวติ้งในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากความจำเป็นของระบบ IoT ที่ต้องรองรับการทำงานในลักษณะกระจัดกระจายในโลกของ IoT ที่มีอยู่ในอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับอุตสาหกรรมหนึ่ง ๆ เป็นการเฉพาะ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตหรือค้าปลีก อย่างไรก็ตาม ในอนาคต เอดจ์คอมพิวติ้งจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและทุกการใช้งาน เพราะส่วนที่อยู่รอบนอกของเครือข่ายถูกเสริมศักยภาพด้วยทรัพยากรประมวลผลที่ก้าวล้ำและรองรับการใช้งานเฉพาะด้านมากขึ้น รวมไปถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มากขึ้น อุปกรณ์ลูกข่ายที่ซับซ้อน เช่น หุ่นยนต์ โดรน ยานพาหนะไร้คนขับ และระบบปฏิบัติการ จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่งขึ้น

ระบบคลาวด์แบบกระจาย (Distributed Cloud)

ระบบคลาวด์แบบกระจายหมายถึงการกระจายตัวของบริการคลาวด์สาธารณะไปยังสถานที่ต่าง ๆ โดยที่ผู้ให้บริการต้นทางของคลาวด์สาธารณะมีหน้าที่ควบคุม กำกับดูแล ปรับปรุง และพัฒนาบริการดังกล่าว ซึ่งนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากเดิมที่บริการคลาวด์สาธารณะส่วนใหญ่มีลักษณะรวมศูนย์ (Centralized) และการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่ศักราชใหม่ของคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing)

อุปกรณ์อัตโนมัติ (Autonomous Things)

อุปกรณ์อัตโนมัติหมายถึงอุปกรณ์ทางกายภาพที่ใช้ AI เพื่อทำงานต่างๆ โดยอัตโนมัติ โดยเข้ามาแทนที่มนุษย์ อุปกรณ์อัตโนมัติที่พบเห็นได้ทั่วไปก็คือ หุ่นยนต์ โดรน ยานพาหนะ/เรือไร้คนขับ และเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทำงานได้เอง การทำงานแบบอัตโนมัติที่ว่านี้จะครอบคลุมขอบเขตมากกว่าการทำงานอัตโนมัติตามโมเดลที่ตั้งค่าไว้อย่างตายตัว กล่าวคือ อุปกรณ์เหล่านี้จะใช้ AI เพื่อทำงานขั้นสูง และโต้ตอบกับคนหรือสิ่งรอบข้างได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ขณะที่ความสามารถทางเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง กฎระเบียบก็มีการเปิดกว้างและอนุญาตให้ใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้มากขึ้น และสังคมให้การยอมรับเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อุปกรณ์อัตโนมัติถูกใช้งานมากขึ้นในพื้นที่สาธารณะที่ปราศจากการควบคุม

ขณะที่อุปกรณ์อัตโนมัติได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น เราคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจากอุปกรณ์อัจฉริยะที่ทำงานตามลำพังไปสู่กลุ่มอุปกรณ์อัจฉริยะหลาย ๆ เครื่องที่ทำงานร่วมกัน โดยอาจแยกเป็นอิสระจากคนหรืออาจมีการป้อนคำสั่งโดยมนุษย์ ตัวอย่างเช่น แขนกลหลากหลายรูปแบบที่ทำงานอย่างสอดประสานกันในโรงงานประกอบชิ้นส่วน ในส่วนของธุรกิจขนส่ง โซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือการใช้อุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อเคลื่อนย้ายพัสดุไปยังพื้นที่เป้าหมาย โดยหุ่นยนต์และโดรนที่เดินทางไปพร้อมกับยานพาหนะอาจจะทำหน้าที่จัดส่งพัสดุถึงมือผู้รับปลายทาง

บล็อกเชนที่ใช้งานได้ในทางปฏิบัติ

เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มีศักยภาพที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส และรองรับการแลกเปลี่ยนมูลค่าในระบบนิเวศน์ทางธุรกิจ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย เพิ่มความรวดเร็วในการทำธุรกรรม และปรับปรุงกระแสเงินสด เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสินทรัพย์ จึงลดโอกาสที่จะมีการสลับเปลี่ยนเป็นสินค้าปลอม นอกจากนี้ การตรวจสอบติดตามสินทรัพย์ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ เช่น การตรวจสอบสินค้าประเภทอาหารในซัพพลายเชนเพื่อระบุแหล่งที่มาของการปนเปื้อน หรือการตรวจสอบชิ้นส่วนที่เฉพาะเจาะจงเพื่อเพิ่มความสะดวกในการเรียกคืนสินค้า การใช้งานบล็อกเชนในอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ก็คือ การจัดการตัวตนผู้ใช้ นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าสัญญาแบบ Smart Contract ไว้ในบล็อกเชน เพื่อให้เหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นทริกเกอร์ให้เกิดการดำเนินการอื่นต่อไป เช่น ระบบจะปลดล็อคการชำระเงินหลังจากลูกค้าได้รับสินค้า

บล็อกเชนยังขาดความพร้อมสำหรับการใช้งานในระดับองค์กร เนื่องจากยังมีปัญหาด้านเทคนิคมากมายหลายประการ เช่น ขาดเสถียรภาพ และไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีปัญหาท้าทายดังกล่าว แต่เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่สูงมากสำหรับการพลิกโฉมอุตสาหกรรมและการสร้างรายได้ ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ จึงควรเริ่มต้นพิจารณาและประเมินความเป็นไปได้ของบล็อกเชน แต่เราคาดว่ายังคงไม่มีการปรับใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้

ระบบรักษาความปลอดภัย AI

AI และ ML จะยังคงถูกใช้งานเพื่อยกระดับการตัดสินใจของมนุษย์ในการใช้งานที่หลากหลาย ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสในการรองรับระบบไฮเปอร์ออโตเมชั่น และการใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อปรับปรุงธุรกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดปัญหาท้าทายใหม่ ๆ สำหรับทีมงานฝ่ายไอทีที่ดูแลด้านความปลอดภัยและผู้บริหารที่ต้องจัดการดูแลความเสี่ยง เพราะจะทำให้มีช่องทางการโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการใช้งาน IoT, คลาวด์คอมพิวติ้ง, ไมโครเซอร์วิส และระบบที่มีการเชื่อมต่อกันอย่างกว้างขวางในสมาร์ทสเปซ ผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยและความเสี่ยงควรจะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ๆ ได้แก่ การปกป้องระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI, การใช้ AI เพื่อปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย และการคาดการณ์เกี่ยวกับการใช้งาน AI โดยคนร้ายที่ต้องการโจมตีเครือข่าย

10 เทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงที่สุดในปี 2020
เทคโนโลยี ในปี 2020

10 เทคโนโลยีที่มาแล้วและกำลังจะมาอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเรามีเทคโนโลยีที่คอยมาช่วยเหลือเราในชีวิตประจำวัน และแน่นอนไม่ว่าคุณจะธุรกิจไหนก็ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง วันนี้เราเลยมานำเสนอเทคโนโลยี10ประเภทที่ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา

1. เทคโนโลยีในธุรกิจ

ทุกวันนี้ในธุรกิจมีการแข่งขันกันสูง ด้านเจ้าของธุรกิจก็ต้องการลดต้นทุนแต่ยังคงคุณภาพในตัวสินค้าและบริการอยู่ การดึงเอาเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจทำให้สามารถประหยัดต้นทุนทางธุรกิจได้ เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนเงินที่ใช้จ้างพนักงานและการมีความตรงต่อเวลาสูง

2. การใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร

ในอดีตเมื่อการสื่อสารถูกจำกัดเฉพาะการเขียนจดหมาย และรอให้ไปรษณีย์ส่งมอบข้อความของคุณ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทำให้ข้อมูลการติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องง่าย คุณสามารถร่างข้อความธุรกิจและส่งอีเมล์หรือแฟกซ์ได้ภายในสองวินาทีโดยที่พวกเขาสามารถตอบกลับคุณทันทีเช่นกัน จึงทำให้สะดวกสบายและทำให้การเติบโตเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น

3. การใช้เทคโนโลยีในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

ในขณะที่โลกกำลังพัฒนาผู้คนทำงานหนักขึ้นทำให้พวกเขาไม่ค่อยมีเวลา ที่จะหาความสัมพันธ์ ดังนั้นเทคโนโลยีจึงมีส่วนช่วยในเรื่องนี้อย่างมาก วันนี้ผู้คนใช้ App โทรศัพท์มือถือเพื่อพบปะและเชื่อมต่อกับเพื่อนเก่าและใหม่ เครือข่ายทางสังคมเช่น Facebook.com , Tagged.com อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์เสมือนไม่แข็งแรงเท่าความสัมพันธ์ทางกายภาพ ดังนั้นฉันจึงแนะนำให้คุณสละเวลาและพบคนที่ต้องการจะสานสัมพันธ์

4. การใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

วันนี้เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกการศึกษา ด้วยการประดิษฐ์เทคโนโลยีและ App บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งจะช่วยให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น คุณสามารถเข้าถึงห้องสมุดแบบเต็มรูปแบบผ่านApp บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ผ่าน Smartphone หรือ iPad ได้

5. การใช้เทคโนโลยีในซื้อของออนไลน์

เทคโนโลยีทำให้การซื้อและขายมีความยืดหยุ่น ด้วยระบบการชำระเงินแบบ e-Payment เช่น Paypal.com และ Net bank ต่างๆ ผู้ใช้สามารถซื้อสิ่งต่างๆทางออนไลน์ได้โดยไม่ต้องออกจากบ้านเพิ่มความสะดวกสบายในบ้าน 

6. การใช้เทคโนโลยีในการเกษตร

ดูจะไม่เป็นเรื่องที่ไปด้วยกันได้ซักเท่าไหร่แต่เทคโนโลยีแสดงให้เห็นว่ามันสามารถทำได้ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเกี่ยวกับการเกษตร ด้วยการประดิษฐ์ Mobile App สำหรับเกษตรกรพวกเขาสามารถใช้ App เช่น “FamGraze” เพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้นและแม่นยำยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น App”FamGraze” จะช่วยให้เกษตรกรจัดการหญ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการแนะนำอาหารที่ถูกที่สุดสำหรับปศุสัตว์ของตน app นี้จะคำนวณปริมาณของหญ้าสัตว์ของคุณมีในเขตข้อมูล ช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นในขณะที่อยู่ในไร่

7. การใช้เทคโนโลยีในการธนาคาร

ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์โอนได้ง่ายมาก การสร้างบัตรวีซ่าอิเลคโทรนิคทำให้การโอนเงินทำได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโจรกรรมไป คุณสามารถซื้ออะไรก็ได้ด้วยบัตรวีซ่าอิเลคโทรนิค ดังนั้นในกรณีนี้คุณจะไม่ต้องพกเงินสด ธนาคารใช้ซอฟต์แวร์เครือข่ายเพื่อตรวจจับการฉ้อโกง ซอฟต์แวร์มีประสิทธิ์ภาพสูงในการจำแนกรูปแบบดังนั้นหากโปรไฟล์ของคุณมีลักษณะคล้ายกับของผู้ที่ตั้งค่าเริ่มต้นธนาคารจะดำเนินการและช่วยคุณจากการถูกปล้น

8. การ ใช้เทคโนโลยีในการควบคุมธรรมชาติ

ธรรมชาติส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทุกวัน ตัวอย่างเช่น น้ำท่วมพื้นที่เพาะปลูกและที่อยู่อาศัยของพวกเขา ทำให้ดินชั้นบนที่อุดมสมบูรณ์เสียหายและทำลายการเจริญเติบโตของพืช นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดไฟไหม้อาคารพืชผลและป่าไม้ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีช่วยให้มนุษย์สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งสามารถกักน้ำส่วนเกินและใช้น้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้ นอกจากนี้แสงอาทิตย์ยังช่วยให้บ้านของเราอุ่นและแปลื่ยนแปลงพลังงานกลับมาใช้มีการใช้ลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการใช้เทคโนโลยีในการควบคุมธรรมชาติ

9.การใช้เทคโนโลยีในการคมนาคมขนส่ง

การคมนาคมเป็นหนึ่งในพื้นฐานของทุกอุตสากรรม เวลาคือเงินดังนั้นเราต้องมีวิธีการขนส่งที่มีประสิทธิภาพลองจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่ต้องเสียไปบนท้องถนน หรือสามารถส่งสินค้าได้ทันทีที่ลูกค้าสั่งอย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการขนส่งมีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆจนถึงปีที่ผ่านมา และตอนนี้เทคโนโลยีการขนส่งที่กำลังเข้ามามีชื่อว่า Hyperloop One ที่สามารถสร้างความเร็วได้ที่ 1,200 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือเทียบง่ายๆคือจากกรุงเทพไปจังหวัดลำพูนใช้เวลา 35 นาที ซึ่งไวกว่าเครื่องบินมาก และทำให้เราประหยัดเวลาได้มากขึ้น

10. เทคโนโลยีใหม่ที่เราจะได้ใช้ในชีวิตประจำวัน

แน่นอนว่าความต้องการของเราไม่สิ้นสุดและเทคโนโลยีใหม่ๆจะมาช่วยตอบโจทย์สิ่งเหล่านั้นซึ่งบางย่างก็ดูใช้เฉพาะกลุ่มเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าพวกมันช่วยทำให้ชีวิตเรามีคุณภาพขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนี้ผู้อ่านคงอยากรู้แล้วว่ามันมีอะไรบ้าง อย่างนั้นเรามาเริ่มที่ชิ้นแรกกกันเลย

HAPIfork มันเป็นตัวปรับปรุงพฤติกรรมการกินและสุขภาพของคุณ HAPIfork นี้เป็นส้อมอัจฉริยะที่ติดตามสิ่งที่คุณกำลังนิสัยการกิน สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเทคโนโลยีส้อมอัจฉริยะนี้จะช่วยให้คุณรับประทานได้มีสุขภาพดีและยังช่วยกำหนดความเร็วในการรับประทานอาหาร ถ้าคุณต้องการตรวจสอบความเร็วที่คุณกำลังรับประทานอยู่คุณจะปรับปรุงระบบการย่อยอาหารของคุณและลดน้ำหนักของคุณด้วย

อย่างต่อมาคือกล่องรักษาความปลอดภัยทางด้านข้อมูลบริษัท ตอนนี้การเว็บไซค์จัดเก็บข้อมูลออนไลน์จำนวนมากที่ให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลและมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่งต้อเสียเงินเพิ่มตามจำนวนพื้นที่ที่เพิ่มขึ้น แต่คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไปแต่ตอนนี้ Space Monkey ได้เข้ามาแก้ปัญหานี้แล้ว ซึ่งจะเก็บข้อมูล Cloud จากศูนย์ข้อมูลระยะไกลและนำมาไว้ในบ้านหรือที่ทำงานของคุณดังนั้นคุณจึงสามารถควบคุมสิ่งที่คุณเก็บไว้ใน Space Monkey และทั้งหมดที่กล่าวมาเมื่อพิจารณาถึงต้นทุนคุณจะใช้จ่ายเพียง 35บาท สำหรับพื้นที่เก็บข้อมูลขนาด 1,000 กิกะไบต์

อย่างสุดท้ายคือ Coolest Cooler ตู้แช่ที่ให้คุณได้มากกว่า  ปัจจุบันการไปนอนเที่ยวเล่นนั่งดื่มเครื่องดื่มริมชายหายหรือปิกนิค เป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นซะแล้วซึ่งถ้าจะไปแต่ละทีก็ต้องยกของไปกันมากมายเพื่อจัดปาร์ตี้ แต่ตอนนี้ปัญหาได้ถูกแก้ไขโดย Coolest Cooler ซึ่งเป็นตู้แช่มีฟังชั่นครบครันไม่ว่าจะเป็น เครื่องปั่นในตัว, ลำโพงที่ป้องกันน้ำได้แบบไร้สาย , USB Chargerโทรศัพท์มือถือ, มี LED LID Light เป็นไฟส่องสว่างที่อยู่ภายในตัว, มี Gear Tie-Down ไว้มัดและจัดเก็บอุปกรณ์การปิกนิคของคุณ, มี Essential Storage เอาไว้เก็บพวกจานมีดและสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ มีที่เปิดขวดคุณจะได้ไม่ต้องมาจำว่าที่เปิดขวดอยู่ตรงไหนเพียงแค่เดินไปที่ Coolest Cooler มันก็มีพร้อมสำหรับคุณ เป็นต้น เรียกได้ว่าครบครันสำหรับคนที่ชอบไปปิกนิคหรือชอบแค้มป์ปิ้งเลยทีเดียว

สรุปได้ว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆมากมายเช่นการดูแลสุขภาพ, การสร้างงานและการจัดการข้อมูล และเทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนแปลงตามความต้องการของผู้คนและตลาด ดังนั้นบทบาทของคุณคือทำให้ตัวคุณเองตามให้ทันเป็นเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่นิยมเพื่อโอกาสในด้านต่างๆ

10 เทคโนโลยีที่มาแล้วและกำลังจะมาอยู่กับเราในชีวิตประจำวัน

ความหมายของเทคโนโลยี

เทคโนโลยี หมายถึง สิ่งที่มนุษย์พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ เข่น อุปกรณ์, เครื่องมือ, เครื่องจักร, วัสดุ หรือ แม้กระทั่งที่ไม่ได้เป็นสิ่งของที่จับต้องได้ เช่น กระบวนการต่าง ๆ
เทคโนโลยี เป็นการประยุกต์ นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ และก่อให้เกิดประโยชน์ ในทางปฏิบัติ แก่มวลมนุษย์กล่าวคือเทคโนโลยีเป็นการนำเอาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เป็นข้อแตกต่างอย่างหนึ่งของเทคโนโลยี กับวิทยาศาสตร์ คือเทคโนโลยีจะขึ้นอยู่กับปัจจัย ทางเศรษฐกิจเป็นสินค้ามีการซื้อขาย ส่วนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสมบัติส่วนรวมของ ชาวโลกมีการเผยแพร่โดยไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใดกล่าวโดยสรุปคือ เทคโนโลยีสมัยใหม่เกิดขึ้นโดยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นฐานรองรับ
ลักษณะของเทคโนโลยี

สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ (Heinich , Molenda and Russell. 1993 : 449)
1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ ( process) เป็นการใช้อย่างเป็นระบบของวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือ
ความรู้ต่างๆที่ได้รวบรวมไว้ เพื่อนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติ โดยเชื่อว่าเป็นกระบวนการที่เชื่อถือได้และนำไปสู่การแก้ปัญหาต่าง ๆ
2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (product) หมายถึง วัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นผลมาจากการใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี
3. เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต (process and product) เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการทำงานเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเครื่องกับโปรแกรม 
เทคโนโลยีชีวภาพ 

ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของเทคโนโลยีชีวภาพในอนาคต คือ การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ เพื่อเพิ่มผลผลิตอาหารเลี้ยงชาวโลก การปฏิวัติทางเทคโนโลยีชีวภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น จะมีความสำคัญต่อมนุษยชาติไม่น้อยไปกว่าการปฏิวัติทางเทคโนโลยีสารสนเทศ

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังซวนเซอันเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจ หลายคนหันมาคิดได้ว่า เราต้องหาทางตั้งตัวใหม่ ผลิตสินค้าและ เปิดบริการใหม่ๆ แทนที่จะอาศัยวัตถุดิบและค่าแรงราคาถูก ซึ่งเคยเป็นข้อได้เปรียบของไทย แนวทางใหม่คงต้องเป็นการใช้สมอง ใช้ความสามารถที่เรามีอยู่บ้าง มาเพิ่มพูนและผสมผสาน กับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อผลิตสินค้า หรือ เสนอบริการที่สามารถ แข่งขันในตลาดโลกได้

โชคดีที่จังหวะเหมาะของประเทศไทยอาจกำลังมาถึงในช่วงต้น ศตวรรษหน้านี้ เทคโนโลยีในโลกกำลังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ เทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็น เทคโนโลยีสำคัญ เปรียบดัง เชื้อเพลิงที่ เครื่องยนต์ของระบบเศรษฐกิจไทยกำลังขาดแคลนอยู่ในขณะนี้ ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นทุนเดิมอยู่มากมาย คนไทยเอง ก็มีความชำนาญทางการเกษตร และด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้ เทคโนโลยีชีวภาพเช่นกัน ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เราจะต้องลงทุนเพิ่มขีดความสามารถทาง เทคโนโลยีชีวภาพอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) คืออะไร 

เทคโนโลยีชีวภาพเป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการนำสิ่งมีชีวิต และผลผลิตมาใช้ประโยชน์ ถ้ามองอย่างกว้างๆ บ้านเรามีเทคโนโลยีดังกล่าวมานานมากแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้ติดต่อกับตะวันตกด้วยซ้ำ การทำน้ำปลา ซีอิ๊ว การหมักอาหาร หมักเหล้า ล้วนเป็นเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม เช่นเดียวกับ การปรับปรุงพันธุ์พืช สัตว์ให้มีผลผลิตมากขึ้น คุณภาพดีขึ้น การนำสมุนไพรมาใช้รักษาโรค บำรุงสุขภาพ ก็จัดได้ว่าเป็นเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเมื่อพูดถึงเทคโนโลยีชีวภาพ เรามักหมายถึง เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีวิทยาศาสตร์เป็นรากฐาน ประกอบด้วยหลายสาขาวิชา ผสมผสานกันอยู่ ตั้งแต่ชีววิทยา เคมี ไปจนถึงวิศวกรรม อาจเรียกได้ว่า เป็นสหวิทยาการที่นำความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตั้งแต่เรื่องการขยายและปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย การนำผลผลิตจากสิ่งมีชีวิตไปแปรรูป เป็นอาหารหรือยา รวมถึงกระบวนการที่ใช้แปรรูปผลผลิตดังกล่าว ในระดับโรงงาน และกระบวนการที่ใช้สิ่งมีชีวิตเช่น จุลชีพในการบำบัดน้ำเสีย หรือ การนำของเสียไปใช้ประโยชน์ เช่น นำไปทำปุ๋ย เป็นต้น

ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่า ชีววิทยาโมเลกุล (Molecular Biology) ได้ทำให้เราเข้าใจกลไก การสืบพันธุ์และการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตอย่างละเอียดลึกซึ้ง ที่น่าทึ่งมากก็คือ จากความเข้าใจนี้ เราสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม ของสิ่งมีชีวิตได้ เช่น ให้จุลชีพผลิต ฮอร์โมนหรือโปรตีนของมนุษย์ที่ใช้เป็น
ยา ซึ่งสามารถทำในระดับอุตสาหกรรมได้ง่ายกว่าและดีกว่าเดิม ที่ต้องนำมาจาก สัตว์ หรือ จากเลือดมนุษย์

ปัจจุบันเราสามารถใส่ลักษณะพิเศษทางพันธุกรรมเข้าไปในพืชหรือสัตว์ ทำให้ได้พืชที่สามารถ ต้านทานแมลงที่เป็นศัตรูของมันได้ หรือ สัตว์ที่ผลิตวัคซีนในน้ำนมของมันได้ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตนี้เรียกว่า พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) ทั้งหมดทำได้โดยการตัดต่อยีน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทคโนโลยี

เทคโนโลยี

ความหมายของเทคโนโลยี