Slider
ดูหนังเอเชีย

HD Webcam กล้องเว็บแคม ราคาประหยัด รุ่น YG79

ถ้าพูดถึงสมัยนี้ไม่มีคงไม่ได้แล้วสำหรับกล้องเว็บแคมเพราะยิ่งทุกวันนี้มีเชื้อไวรัสระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้เราต้อง เวอร์ฟอมโฮม Work From Homeและในการประชุมแต่ละครั้งนั้นก็ต้องมีการเห็นใบหน้าที่ชัดเจนหรือการพรีเซนสิ่งของหรือสิ่งต่างก็ต้องเห็นให้ชัดเจน วันนี้เราเลยจะมาแนะนำกล้องเว็บแคมที่ราคาประหยัดให้กับคุณ

สำหรับรุ่นนี้ เป็นกล้องเว็บแคมราคาประหยัด ที่มาพร้อมกล้องความละเอียด 2 ล้านพิกเซล ให้ความคมชัดระดับ 1080P โดยใช้เซ็นเซอร์ CMOS ซึ่งมีอัตราเฟรมอยู่ที่ 30 fps สามารถปรับความคมชัดที่หน้าเลนส์ได้ ซึ่งจะช่วยให้ภาพจะนวลสวยมากยิ่งขึ้น สำหรับตัวเลนส์นั้นรุ่นนี้ใช้เลนส์คุณภาพดี ซึ่งมีความแม่นยำสูง ทำให้ภาพมีความคมชัด

ไม่มีการบิดเบือน ในด้านรูปทรงของกล้อง ก็ออกแบบมาให้สามารถใช้ได้ทั้งกับจอ LCD หรือจะตั้งวางแบบปกติก็ได้ และสามารถปรับระดับของมุมกล้องได้ มาพร้อมไมโครโฟนในตัว และมีตัวช่วยลดเสียงรบกวนอีกด้วย รุ่นนี้สามารถใช้ได้ทั้ง Mac OS และ Window เพียงแค่เสียบกับ USB โดยไม่ต้องลง Driver ใด ๆ ทั้งสิ้น ถือว่าสะดวกมาก

รวม 4 กล้องเว็บแคม (Webcam) 1080p Full HD คุณภาพดี ภาพคมชัด ราคาถูก ใช้ทำ Live ขายสินค้า / สอนออนไลน์ / สตรีมมิ่งเกม / การประชุม ฯลฯ ในสถานการณ์โควิด

ในยุคที่คนหันมาทำอาชีพกันบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น การสื่อสารผ่านภาพเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญ และ ด้วยสถานการณ์โควิดที่กำลังแพร่ระบาดอย่างมาก ทำให้กล้องวีดีโอเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากที่ทุกคนจะต้องมีติดตัวเพื่อใช้ทำงาน และ จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด ประหยัดที่สุด หนึ่งในทางเลือกเหล่านั้นก็ต้องกล้องเว็บแคม (Webcam) ซึ่งในยุคนี้ กล้องถ่ายวีดีโอทั่วไป ก็ต้องมีความละเอียดอย่างน้อย ๆ ก็ต้องความละเอียด HD ขึ้นไป เพื่อจะได้ถ่ายทอดเนื้อหาที่สำคัญ ให้มีความคมชัด ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน จนคนชมรู้สึกรำคาญ และ ไม่รับชมเนื้อหาของเราในที่สุด

4-เว็บแคม-1080p-Full-HD

ซึ่งกล้องเว็บแคมในปัจจุบันก็มีมากมายหลายรูปแบบ แต่สำหรับในบทความนี้ ผมได้คัดเอาเฉพาะกล้องเว็บแคมที่เป็นแบบความละเอียดสูงระดับ Full HD 1080p เท่านั้น มาแนะนำกัน สำหรับคนที่ไม่มีไอเดีย และ ไม่รู้จะซื้อแบรนด์ไหนดี ถึงจะได้ของมีคุณภาพ มีการรับประกัน ไม่โดนหลอก และ ที่สำคัญราคาถูก จับต้องได้แน่นอน

4 กล้องเว็บแคม (Webcam) Full HD ยอดฮิตราคาไม่เกิน 5,000 บาท

1. AverMedia PW313 Live Streamer USB 2.0 Webcam : กล้อมเว็บแคมคุณภาพคมชัด ประกัน 2 ปี มีไมค์มาให้ในตัว หมุนกล้องรอบทิศได้ 360 องศา

กล้องเว็บแคมรุ่นนี้มีความพิเศษตรงที่มีไมโครโฟนแบบ Mono จำนวน 2 ตัว ติดมาให้กับตัวกล้องเลย มีฝาบานเลื่อนปิดตัวกล้องได้ และ ตัวกล้องสามารถหมุนรอบทิศทางได้ 360 องศา แถมยังมีตัวคลิปหนีบเอาไว้ยึดติดกับตัวคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค หรือ หน้าจอคอมได้ อย่างดีไม่หลุดหล่น เชื่อมต่อด้วย USB 2.0 รองรับระบบปฏิบัติการ ตั้งแต่ Windows 7 และ Mac OS 10.6 ขึ้นไป Software ของ Avermedia ต้องใช้งานกับ Windows 10 ขึ้นไปเท่านั้น และ มีการรับประกันสินค้าถึง 2 ปี เต็มเมื่อลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ ซึ่งผมได้มีเขียนบทความรีวิวละเอียดของเว็บแคมตัวนี้ไว้แล้ว สามารถเข้าไปอ่านใน รีวิว AverMedia PW313 ได้เลยครับ เหมาะกับการคนที่จะนำไปสตรีมมิ่งเกม และ สอนออนไลน์เป็นอย่างมาก ตัวเดียวจบ

  • AVERMEDIA LIVE STREAMER CAM 313-PW313 (ประกันศูนย์)฿2,790

ข้อมูลสเปคทางเทคนิค

  • ประเภท: เว็บแคม FHD USB 2.0
  • เซ็นเซอร์ภาพ: เซ็นเซอร์ CMOS 1/2.7 นิ้ว, 2MP
  • โหมดวิดีโอ: MJPEG และ YUY2
  • วิธีโฟกัส (ประเภทเลนส์): ระยะโฟกัสตายตัว
  • เลข F เลนส์: 2.0 มม.
  • ระยะทำงาน: 40 cm – 100 cm (1.31 feet – 3.28 feet)
  • การรองรับ UVC: มี
  • ความยาวสายเคเบิล: 1.5 เมตร
  • ขนาด: 90 x 53 x 47 มม.
  • (3.54 x 2.08 x 1.85 นิ้ว)
  • น้ำหนัก: 130 กรัม ± 5 กรัม (4.6 ออนซ์ ± 0.17 ออนซ์)

รีวิว ทดสอบ เว็บแคม AverMedia Live Stream CAM 313 (เปิดสด ลองสด)

2. OKER A229 Full HD Webcam with mini tripod : กล้องเว็บแคม ภาพสวยคมชัด ไม่ต้องหนีบ มีขาตั้งมาให้ สะดวกตั้งที่ไหนก็ได้

กล้องเว็บแคมรุ่นนี้ให้ความละเอียดสูงถึง Full HD 1080p และ มีไมค์ Built in ดูดรับเสียงได้ดีมาให้ในตัว มีระบบปรับแสงอัตโนมัติเมื่อแสงโดยรอบเปลี่ยนไป ตัวกล้องก็จะปรับความสว่างของกล้องให้อัตโนมัติ มีระบบ Auto focus และ ใช้งานง่ายผ่านการเสียบสาย USB และ มีความพิเศษที่โดดเด่นเลยคือ รุ่นนี้จะมีแถมตัวขาตั้งกล้องขนาดเล็กมาให้ด้วย ช่วยให้เราสามารถนำกล้องเว็บแคมไปตั้งที่ไหนก็ได้ เหมาะกับคนที่ทำงานขายสินค้าผ่านไลฟ์สดเป็นอย่างมาก

  • OKER กล้องเวปแคม A229 Full HD Webcam USB 2.0 with Mini Tripod฿1,290

ข้อมูลสเปคทางเทคนิค

  • Full HD Video calling :1920×1080,2.0 Mega pixels
  • Video format: MJPEG/YUV
  • Transmission rate: 1920×1080 30F/S
    1280×720 30F/S,640×480 30F/S
  • Low light correction :Automatic
  • Focus type:Auto focus
  • Viewing Angles:Horizontal; 65′
  • Interface type:USB2.0
  • Operating conditions:0~45C
  • Power supply : USB 5.0v+/50mV
  • Power consumption :Max 280mA
  • Mic type: Built-in high-sensitivity noise reducing microphone
  • Compatible OS: Windows XP/7/8/10 Android v5.0 or above Mac OS 10.6 or above

รีวิวกล้องเว็บแคม Oker รุ่น A229 Full HD ไว้สตรีมเกม!!

3. OKER A327 USB Full HD Webcam : กล้องเว็บแคมราคาถูก คุณภาพดี สำหรับมือใหม่เริ่มต้นใช้ Webcam

กล้องรุ่นนี้มีระบบโฟกัสอัตโนมัติ เหมาะสำหรับติดต่อสื่อสาร การประชุม เรียนออนไลน์ ฯลฯ ตัวกล้องให้ความละเอียดสูง Full HD 1080p และมีระบบลดเสียงรบกวนขณะใช้งานเพื่อการติดต่อที่ชัดเจน ภาพโฟกัสแม่นยำ ขนาดเล็กกะทัดรัด มีตัวหนีบกับคอมพิวเตอร์ติดที่ฐานมาให้ และ ยังมีเกลียวเพื่อเสียบกับขาตั้งกล้องได้ด้วย และ ตัวฐานกล้องเองสามารถวางบนโต๊ะได้เลย โดยไม่ต้องมีขาตั้งก็ทำได้

  • OKER A327 USB Full HD Webcam 2MP (ประกันศูนย์)฿1,590

ข้อมูลสเปคทางเทคนิค

  • Full HD video calling: 1920×1080, 2.0 Million pexels
  • Video format: MJPEG/YUV
  • Transmission rate: 1920×1080 3F/S, 1280×720 30F/S, 640×480 30F/S
  • Low light correction: Automatic
  • Focus type: Auto focus
  • MIC type: Built-in full directional high sensitivity low noise microphone
  • Interface type: USB 2.0
  • Operating conditions: 0-45 C°
  • Power supply: USB 5.0V +/50mV
  • Power consumption: Max 280mA
  • System requirements: Win XP/Vista, Win 7/8/10 or later, Mac OS and Android 5.0 and other operating system
  • Applicable to: QQ, Wechat, Huya, Douyu, Yy partner, Pepper, Msn, Skype, and other third party video software

Webcam OKER FullHD Auto focus รุ่น A327 ว้าววว

4. Logitech C930e Webcam (Full HD 1080p) : กล้องเว็บแคมแบรนด์ดัง วัสดุแข็งแรง ทนทาน มุมกล้องกว้างเป็นพิเศษ

เป็นกล้องเว็บแคมคุณภาพสูงจากแบรนด์ดัง Logitech แบรนด์นี้หลายคนก็คงรู้จักเป็นอย่างดี เป็นแบรนด์ผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ราคาย่อมเยาวน์และคุณภาพใช้งานใช้การได้เลย โดยในรุ่นนี้มีมุมมองภาพกว้างเป็นพิเศษถึง 90 องศา ให้เห็นภาพมากขึ้นความกว้างมันจะประมาณจับภาพทีมงานและกระดานไวท์บอร์ดทั้งหมดได้ มีระบบ Auto focus และ ปรับแสงอัตโนมัติตามสภาพแสงแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และ สามารถ ซูมแบบ HD ได้ 4 เท่า

ให้รายละเอียดวิดีโอที่คมชัดแม้ในกรณีที่มี bandwidth จำกัด เว็บแคม C930e ปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับ Skype for Business สนับสนุน H.264 ด้วย Scalable Video Coding และเทคโนโลยีการเข้ารหัส UVC 1.5 ลดการพึ่งพาคอมพิวเตอร์และทรัพยากรเครือข่าย

  • Logitech กล้องเวปแคม C930e Webcam (ประกันศูนย์ 3 ปี)฿4,699

ข้อมูลสเปคทางเทคนิค

  • การสนทนาผ่านวิดีโอ Full HD 1080p (สูงสุด 1920 x 1080 พิกเซล); การสนทนาผ่านวิดีโอ 720p HD (สูงสุด 1280 x 720 พิกเซล) ด้วยไคลเอ็นต์ที่สนับสนุน
  • การบีบอัดวิดีโอ H.264/SVC
  • มุมมอง 90 องศา
  • ซูม 4 เท่า ความละเอียด 1080p
  • เทคโนโลยี Rightlight™ 2 เพื่อภาพที่คมชัดท่ามกลางสภาพแสงที่หลากหลาย แม้กระทั่งแสงน้อย
  • โปรแกรมเสริมสำหรับควบคุมการแพน เอียง และซูม
  • ใบรับรองเลนส์ ZEISS®
  • โฟกัสอัตโนมัติ
  • ชัตเตอร์ภายนอกรักษาความเป็นส่วนตัว
  • ไมโครโฟน Stereo แบบคู่ภายใน
  • รับรองการใช้งาน Hi-Speed USB 2.0 (USB 3.0 พร้อมใช้งาน)
  • คลิปอเนกประสงค์สำหรับติดตั้งขาตั้งแลปท็อป, จอภาพ LCD หรือ CRT
2021.01 ZoomCamera WFH Promotion Code 1080x1080px 1
ZoomCamera How to shop Infographic
Banner Contact 2020 Part1 Generic
Banner Contact 2020 Part2 Cleaning Service
Banner Contact 2020 Part3 Contact Us

AVerMedia เปิดตัว Live Streamer CAM 513 กล้องเว็บแคมความละเอียด 4k UHD มาพร้อมซอฟต์แวร์ถ่ายภาพ Camengine สุดล้ำ

AVerMedia Technologies ผู้นำด้านการบันทึกเสียงและวิดีโอดิจิทัล ประกาศเปิดตัวกล้องเว็บแคมรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Live Streamer CAM 513 ที่มีความสามารถถ่ายวิดีโอระดับ 4K UHD พร้อมคุณสมบัติการถ่ายภาพมุมกว้าง, ปกป้องความเป็นส่วนตัวด้วย Privacy Shutter, ไมโครโฟนสเตอริโอแบบคู่ และการออกแบบให้หมุนได้รอบ 360 องศากล้องเว็บแคมรุ่น CAM 513 ใช้เซนเซอร์ Exmor R 4K CMOS จากค่ายโซนี่และรูรับแสง F2.8 เพื่อมอบคุณภาพวิดีโอระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการสตรีมสดและบันทึกวิดีโอไปพร้อมๆ กัน ทั้งยังมาพร้อมกับเลนส์มุมกว้างขนาด 94 องศา ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเก็บรายละเอียดสำคัญๆ ได้มากขึ้น และเหมาะกับการติดตั้งในพื้นที่ที่แคบลงกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น กล้องรุ่นนี้ยังรองรับการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์บุคคลที่สามไม่ว่าจะเป็น Streamlabs OBS, XSplit, Microsoft Teams, Zoom และอื่นๆ ด้วยนอกจากนี้ AVerMedia ยังเพิ่มคุณสมบัติการติดตามการเคลื่อนไหวด้วย ePTZ และ AI ที่พัฒนาใหม่เข้าไว้ในซอฟต์แวร์ CamEngine สุดพิเศษเพื่อนำมาใช้กับ CAM 513 นอกเหนือไปจากการตั้งค่าภาพ, สติกเกอร์และฟิลเตอร์ต่างๆ หลากหลายรูปแบบ ด้วยคุณสมบัติของ ePTZ ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าล่วงหน้าสำหรับการซูมในระดับที่แตกต่างกันบนหน้าจอได้อีกด้วยทั้งหมดทั้งมวล CAM 513 นำเสนอวิดีโอความละเอียดสูงเป็นพิเศษในระดับ 4K ให้กับผู้ใช้โดยไม่จำเป็นต้องใช้กล้องวิดีโอ DSLR ราคาแพง สำหรับผู้ใช้ที่กำลังมองหาอุปกรณ์เพื่อมาเติมเต็มคอลเลกชันกล้อง 4K การค้นหาของคุณได้จบลงแล้ว เพราะ Live Streamer CAM 513 อยู่ที่นี่

Live Stream CAM 513 มาพร้อมคุณสมบัติสุดโดดเด่น ดังต่อไปนี้

  • ถ่ายวิดีโอความละเอียดระดับ 4K UHD
  • มุมมองกว้าง 94 องศา
  • มอบความเป็นส่วนตัวด้วย Privacy Shutter
  • การออกแบบให้สามารถหมุนได้รอบ 360 องศา
  • ซอฟต์แวร์ CamEngine พร้อมเทคโนโลยีติดตามการเคลื่อนไหวด้วย AI
  • การเชื่อมต่อแบบเสียบปลั๊กแล้วทำงานทันที (Plug and Play)

รายละเอียดผลิตภัณฑ์

  • รองรับการใช้งานกับ USB 3.0 (ไม่สามารถใช้งานกับ USB 2.0 ได้)
  • เซ็นเซอร์ : Sony Exmor R 4K CMOS
  • ความละเอียดภาพ : 8 MP
  • เฟรมเรทสูงสุด : 3840*2160 @ 30fps, 1920*1080 @ 60fps
  • เลนส์ F# : 2.8
  • ระบบโฟกัสภาพ (ประเภทของเลนส์) : Fixed Focus
  • ขอบเขตภาพ : แนวทแยงกว้าง 94 องศา
  • โหมดวิดีโอ : MJPEG และ UYVY
  • ระยะการทำงานต่ำสุด : 10 ซม.

Software แนะนำโปรแกรม ทั้งฟรีและไม่ฟรี ยอดฮิตประจำปี 2019

แนะนำโปรแกรม (Software) เด็ดประจำปี 2019 พร้อมทั้งถ้าเราใช้โปรแกรมเสียตังแบบถูกลิขสิทธิ์จะต้องใช้เงินทั้งหมดเท่าไหร่กันนะ และจะมีโปรแกรมฟรีตัวไหนใช้แทนกันได้บ้างนะ

Software

แนะนำโปรแกรม ทั้งฟรีและไม่ฟรี ยอดฮิตประจำปี 2019

ซอฟแวร์แท้ลิขสิทธิ์

เริ่มกันที่ Windows 10 Pro กันเลย

pl17762534

ราคาอยู่ที่ 4,XXX – 5,XXX บาท

Microsoft Office Home 2016

pl21036399

ราคาอยู่ที่ 6,XXX – 7,XXX บาท

IDM โปรแกรมช่วยดาวน์โหลดยอดนิยม

IDM Internet Download Manager e1413301428719

ราคา 29.95USD หรือราวๆ 1,000 บาท

มาดูกันต่อที่โปรแกรมป้องกันไวรัสยอดฮิตอย่าง KASPERSKY INTERNET SECURITY 2018

81hlLFg0DDL. SY606

ราคาอยู่ที่ 1,780 บาท

Nero Burning Rom 2018

nero buring rom origin

ราคาอยู่ที่ 3,210 บาท

Photoshop CC 2019 โปรแกรมตัดต่อภาพที่จำเป็นต้องมีติดเครื่องเอาไว้

maxresdefault 1

ราคา คิดเป็นรายเดือน เดือนละ 300

รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 17,290 บาท

โปรแกรมฟรี ที่ยอดนิยมประจำปี 2019 และ สามารถใช้แทนกันได้

ซอฟแวร์ฟรีใช้แทนกันได้

Ubuntu หรือระบบ Linux ยอดนิยมที่มีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา แถมหน้าตายังสวยด้วยนะ

1200px Ubuntu 18.10

โปรแกรม Gimp สามารถใช้แทน Photoshop ได้ ที่สำคัญ ฟรี!!

GIMPPortable

7zip ใช้แทน Winrar แตกไฟล์ได้เหมือนกันอีกทั้ง ยัง สร้างไฟล์เป็น .001 ได้อีกด้วย ที่สำคัญ ฟรี!!

7 zip 15.12 stable

Office Online แน่นอนตอนนี้ทาง Microsoft ได้มี Office ให้ใช้งานบนเว็บกันฟรีๆแล้ว แต่ข้อเสียคือต้องใช้เน็ตตลอดเพื่อใช้งาน

5000

ต้องบอกว่าถึงแม้เราจะไม่ใช้โปรแกรมเสียตัง ใช้โปรแกรมพวกฟรีก็ยังสามารทดแทนบางอย่างได้อยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่ก็ตาม และที่สำคัญหากเราใช้โปรแกรมที่ถูกลิขสิทธิ์ผู้พัฒนาก็จะมีกำลังใจในการพัฒนาโปรแกรมดีๆ ออกมา ให้เราใช้กันอีกด้วย และบางโปรแกรมเรายังสามารถอัพเดทต่อไปโดยไม่ต้องเสียตังซื้ออีกรอบด้วยนะ

โปรแกรมฟรี

โปรแกรมฟรี หรือโปรแกรมเสียเงิน ดีกว่ากัน ?

คุณเคยประสบปัญหาไม่อยากจ่ายเงินซื้อซอฟต์แวร์ แต่อยากได้ซอฟแวร์ดีดี แต่พอซื้อมาแล้วต้องมานั่งวุ่นวาย ไหนจะเอาไฟล์ exe มาใส่ folder อะไรก็ไม่รู้ อ้าว… นี่มันคือการดัดแปลงแก้ไข ทำให้ซอฟต์แวร์ดีดีใช้งานได้ โดยไม่ต้องเสียเงินนั่นเอง แต่ใช้ไป ๆ พี่ตำรวจมาเยี่ยมซะงั้น พร้อมบอกข้อหาว่า คุณกำลังละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา จะทำยังไงดีทีนี้ หนักหน่อยโดนโทษปรับ ดีหน่อยเขาก็ให้เลือก ถ้าไม่ซื้อของเขาต้องเลิกใช้ แล้วจะใช้โปรแกรมอะไรล่ะ ลองเข้า Google ใช้คำค้นหาแบบสิ้นคิด

ไม่ต่างจากสั่งข้าวกะเพราหมูไข่ดาว ซึ่ง keyword นั้นก็คือ “โปรแกรมฟรี” เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณจะพบเว็บไซต์คุณภาพ เช่น thaiware.com, downloaddd.com, download.com เป็นต้น คุณเริ่มเข้าไปในเว็บไซต์นั้น แล้วเริ่มดาวน์โหลดโปรแกรมเหล่านั้นมาใช้ แต่ก็พบว่าใช้ไป หงุดหงิดไป แถมงานที่ออกมากลับแย่กว่าใช้โปรแกรม paint ในวินโดวส์เสียอีก เพราะคุณใช้โปรแกรมฟรีเหล่านั้นไม่เป็น

ฉะนั้น วันนี้เรามาคุยกันว่า ควรจะใช้ โปรแกรมฟรี หรือ โปรแกรมเสียเงิน ดีกว่ากัน !!

หลายคนคงคิดว่า ใช้โปรแกรมฟรี ดีกว่าแน่นอน แต่ความจริงแล้วไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะบริษัทผลิตซอฟต์แวร์รู้ดีว่า เขาต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้สินค้าของเขา เช่น ถ้าคุณใช้ Adobe acrobat Pro เพื่อสร้าง PDF อยู่ดีดีแล้ว ต้องไปใช้โปรแกรมฟรีอื่น ๆ คุณภาพของไฟล์อาจจะไม่ได้ออกมาเหมือนอย่างของ original บางทีคนเปิดด้วย Adobe Acrobat reader ก็อาจจะอ่านได้ไม่ครบถ้วน หรือโปรแกรม 3D CAD อย่างพวก SOLIDWORKS หรือ Autodesk Inventor หรือฟรี 3D CAD เช่น FreeCAD เอง ก็จะมีไฟล์ของตัวเอง ที่เมื่อเปิดโดยตัวของมันเองเท่านั้น งานถึงจะสมบูรณ์

ร้ายกว่านั้นกลับไม่ใช่เรื่องของ feature ของโปรแกรมเลย กลับเป็นเรื่องของความคุ้นชินของผู้ใช้โปรแกรม ที่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เช่น ถ้าวันนี้คุณใช้ Microsoft outlook อยู่ดีดี แล้วเกิดเจ้านายคุณเดินมา บอกให้คุณเปลี่ยนไปใช้ Thunderbird ของ Mozilla ขึ้นมา คุณคงชะงัก ทั้งในเรื่องหน้าตาและ feature ก็ไม่เหมือนกัน ความเข้ากันได้ของโปรแกรมก็จะลดทอนลงบ้าง

ก่อนผมจะโดนแฟน ๆ และสาวกของโปรแกรมที่พูดชื่อขึ้นมา โพสต์ต่อว่าผมในหน้าเพจ ขอออกตัวก่อนเลยว่า นั่นคือตัวอย่างจริง ต่อพฤติกรรมจริง ของผู้ใช้งานโปรแกรม ที่บางครั้งความอยากใช้ ก็มิได้สอดคล้องกับความอยากหรือความสามารถที่จะจ่ายเงินซื้อ แล้วควรจะทำยังไง ?

ถ้าเราต้องการใช้โปรแกรมพวกนี้ในการทำงานจริง ๆ วันนี้ผมขอนำประสบการณ์การเป็นที่ปรึกษาด้าน software มายาวนานถึง 11 ปี มาบอกวิธีวิเคราะห์สั้น ๆ ง่าย ๆ และการวางแผนการใช้โปรแกรมที่เหมาะสม และไม่ต้องมีปัญหากับพี่ตำรวจมาบอกครับ

ขั้นแรก คุณต้องวิเคราะห์ถึงความต้องการใช้งานเป็นหลักก่อน จริง ๆ แล้ว คุณต้องการความสามารถของโปรแกรมมากเพียงใด ต้องใช้โปรแกรมด้านไหนบ้าง ให้จดออกมาเลยครับ อย่าเพิ่งเอาตัวเงินมาขวางกั้น เพราะอาจทำให้ทำงานบางอย่างไม่มีประสิทธิภาพที่สุด ซึ่งเครื่องส่วนใหญ่ในองค์กรจะมีโปรแกรมพื้นฐาน ทั้งแบบจ่ายและทดแทนกันได้ ดังนี้

จากลิสต์ข้างบน เป็นเพียงตัวอย่างเด่น ๆ ที่ในแต่ละเครื่อง PC ใน office มีไว้ใช้งาน ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้ ฟรี หรือไม่ฟรี นั้น ไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าโปรแกรมที่ต้องจ่ายเงินดีกว่า แต่เป็นทางเลือกของผู้ใช้งานที่มีขนาดของกระเป๋าเงินที่ต่างกัน ซึ่งบางโปรแกรมที่บอกว่า ฟรี เวลาเราค้นหาเจอใน internet บางตัวฟรีจริง ลดค่าใช้จ่ายไปได้พอสมควร ซึ่งผมเอ่ยชื่อทั้งหมดไม่ไหวจริง ๆ แต่ถ้าอยากรู้โปรแกรมประเภทไหนบ้าง ให้ถามทางเพจก็แล้วกัน

ทุกวันนี้ในเครื่องผมทำงานใช้ opensource หรือ free อยู่ครึ่งหนึ่ง ทั้งงานกราฟิก งานตัดต่อ งานคำนวณกระจุกกระจิก โปรแกรม utility ต่าง ๆ พวกนี้ผมใช้ฟรีไม่เคยเสียเงิน ที่จะไม่ฟรีก็แค่ OS กับโปรแกรมใช้งาน office หลัก ตัวสองตัวเท่านั้นเอง

แต่ software free ก็ไม่ได้ให้ใช้ฟรีทั้งหมด บางโปรแกรมอาจให้ feature บางส่วนที่อาจใช้ได้อย่างจำกัดแล้วเลิกฟรี ก็มีโปรแกรมองค์กรหลาย ๆ ตัว บอกว่า ฟรี ก็จริง แต่มีค่าติดตั้ง ไหนจะค่าบำรุงการติดตั้ง และปรับปรุง opensource อีก ซึ่งคุณจะต้องเริ่มลิสต์ราคาออกมา ไม่ว่าจะเป็นราคาซอฟต์แวร์ หรือถ้าฟรี จะมีค่าอื่น ๆ อีกหรือไม่ เช่น ค่าบำรุงการดูแล ค่าติดตั้ง ค่าที่ปรึกษา หลังจากนั้น เมื่อคิดเลขเสร็จแล้ว ให้แบ่งโปรแกรมเป็น 2 ประเภท คือ

1.โปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง เช่น บริษัทรับจ้างออกแบบกราฟิก ถ้าไปใช้โปรแกรมฟรี ก็ดูจะประหยัดเงินกับธุรกิจตัวเองไปหน่อย ยกเว้นแต่ว่าราคาโปรแกรมทำให้ธุรกิจไม่สามารถไปรอดได้ หรือมีส่วนต่างมากเกินไป ผมแนะนำให้ลองดู opensource และ free software ทั้งหลาย 2.โปรแกรมที่ไม่เกี่ยวกับแก่นของธุรกิจโดยตรง เช่น ถ้าเป็นบริษัทรับจ้างออกแบบข้างต้น จะไปใช้ Google Docs ก็คงจะไม่มีใครว่า

เมื่อแบ่งเสร็จแล้ว ให้วงกลมประเภทที่คุณอยากได้ และรวมต้นทุนดูว่ารับได้ไหม ถ้ารับได้ แนะนำให้มองว่า งบฯก้อนนี้เป็นงบฯเหมือนกับการซื้อเครื่องมือทำงาน ถ้าโปรแกรมเหล่านั้นช่วยให้ธุรกิจคุณพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดี มีเงินเข้ามาและธุรกิจไม่สะดุด

ไม่ว่าโปรแกรมฟรี หรือเสียเงิน ถ้าเลือกเป็น ประหยัดเงินได้ และใช้ถูกวิธี ธุรกิจประสบความสำเร็จแน่นอนครับ

ย้อนดูที่มา 6 เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

รู้หรือไม่ว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ในรถยนต์ที่เราใช้งานกันเพื่อความสะดวกสบายในการขับขี่ หลายอย่างมีที่มายาวนานแล้ว มาย้อนประวัติ 6เทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ สาระดี ๆ น่ารู้ที่คุณไม่ควรพลาด

วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีมีการพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในแวดวงอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เป็นกำลังขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ให้มีการเติบโตก้าวทันกระแสสังคมอยู่เสมอ ทางค่ายผู้ผลิตเองจึงไม่หยุดที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อที่จะให้สินค้าและบริการของตัวเองได้ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ ของการเป็นตัวเลือกจากผู้ใช้บริการ

เทคโนโลยีในวงการอุตสาหกรรมมีการขับเคลื่อนพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

เทคโนโลยีในวงการอุตสาหกรรมมีการขับเคลื่อนพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

ไม่แตกต่างกันในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ไม่หยุดสร้างสรรค์พัฒนาเทคโนโลยีด้วยความตั้งใจที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่รถของทางค่ายพวกเขา เราจึงเห็นรถยนต์หลายรุ่นในปัจจุบัน ที่ถูกผลิตออกมาต่างถูกติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ ๆ รองรับการใช้งานที่ทั่วถึงและดีขึ้นยิ่งไปเรื่อย ๆ บางอย่างก็เป็นนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ บางอย่างก็เป็นเทคโนโลยีที่มีการคิดค้นกันมานานแล้วและถูกวิวัฒนาการให้ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ เพื่อให้ทันกระแสตลอดเวลา 

ย้อนดูที่มา 6 เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ย้อนดูที่มา 6 เทคโนโลยีรถยนต์ ที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน

และวันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาแบบกระชับสำหรับ 6 เทคโนโลยีรถยนต์ ที่มีการคิดค้นมาอย่างยาวนานและถูกใช้มาตลอดแม้กระทั่งในปัจจุบัน ที่ยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้เช่นเดิม มาดูกันว่าใครกันที่เป็นผู้เริ่มต้นสร้างสรรค์พัฒนาเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายให้เราได้ใช้งานกันในทุกวันนี้

1. ระบบเบรก ABS ที่ถูกพัฒนามาจากเทคโนโลยีการบิน

Ford Zephyr  คือรถรุ่นบุกเบิกที่มีการเริ่มใช้ระบบ ABS

Ford Zephyr  คือรถรุ่นบุกเบิกที่มีการเริ่มใช้ระบบ ABS

เทคโนโลยี ABS คิดค้นมาจากเทคโนโลยีการบินที่เริ่มคิดระบบเบรกขึ้นมาโดยเป็นการต่อยอดจากระบบดรัมเบรก ซึ่งเริ่มในสมัยปีค.ศ.1929 ยุคเฟื่องฟูของดรัมเบรก เพื่อพัฒนาให้การเบรกหยุดความเร็วของเครื่องบินมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนกระทั่งเมื่อปีค.ศ. 1960 ระบบ ABS ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ โดยเริ่มมาจากการนำมาติดตั้งใช้ในสนามแข่งรถก่อนที่จะแพร่หลายไปถูกติดตั้งในรถยนต์ทั่วไปบนท้องถนน โดยค่าย Ford เป็นผู้เริ่มบุกเบิกให้การใช้งาน ABS โดยรถรุ่นแรกที่ใช้คือ Ford Zephyr  และปีเดียวกันนั้นทางค่ายรถจากญี่ปุ่น Nissan ก็มีระบบเดียวกันถูกพัฒนาออกมาในรุ่น Nissan President นับว่าเป็นรถคันแรกจากฝั่งญี่ปุ่นที่มีระบบ ABS 

2. ระบบ Cruise Control เทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นมาจากผู้พิการสายตา

Ralph Teetor ผู้คิดค้นระบบ Cruise Control

Ralph Teetor ผู้คิดค้นระบบ Cruise Control

เด็กชาย Ralph Teetor วัย 5 ขวบกลายเป็นผู้พิการทางสายตาจากอุบัติเหตุ และเมื่อเติบโตขึ้นเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการทำงานของรถยนต์ การจุดประกายคิดค้นเทคโนโลยีที่ปฏิวัติวงการรถยนต์เริ่มขึ้นเมื่อในวันหนึ่งของการเดินทางเขาสังเกตุว่าทนายความเจ้าของรถที่เขานั่งมาด้วยจะทำการชะลอรถทุกครั้งขณะที่หันมาสนทนากับเขา และกลับไปเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเมื่อเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้รับฟัง ซึ่งจังหวะการเร่งสลับชะลอรถเช่นนี้สร้างความรำคาญให้แก่ทีเตอร์เป้นอย่างมาก เขาจึงเกิดไอเดียที่จะคิดค้นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติขึ้นมาให้ได้

สิทธิบัตรอุปกรณ์ควบคุมความเร็วของรถยนต์

สิทธิบัตรอุปกรณ์ควบคุมความเร็วของรถยนต์

เวลาแห่งการศึกษาร่วม 10 ปี ผ่านมาจนถึงปี 1945 ในที่สุด ทีเตอร์ก็ได้จดสิทธิบัติอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรถยนต์ได้สมความพยายาม โดยเทคโนโลยีนี้มีหลากหลายชื่อเลยทีเดียว ก่อนจะลงเอยมาเป็น Cruise Control และถูกนำมาใช้เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1958 จากการดำเนินการของบริษัทรถยนต์ชื่อดังอย่าง Chrysler และถูกพํฒนามาเป็นระบบที่เราใช้งานอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

3. เทคโนโลยีไฮบริดกับแนวคิดขจัดปัญหากวนใจ

Jakob Lohner กับรถไฮบิรดคันแรกในโลกที่เขาเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา

Jakob Lohner กับรถไฮบิรดคันแรกในโลกที่เขาเป็นผู้คิดค้นขึ้นมา

เทคโนโลยีไฮบริดฟังดูแล้วเหมือนเป็นอะไรที่ทันสมัย หลายคนอาจคิดว่าการเริ่มต้นของไฮบริดอยู่ในยุคสมัยใหม่ ก่อกำเนิดขึ้นพร้อมกับรถยนต์ที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดคันแรกของโลก แต่อันที่จริงแล้วคุณหรือไม่? ว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมผสมผสานระหว่างแบตเตอรี่และเครื่องยนต์มาการคิดค้นมายาวนานกว่าที่คิด เมื่อปี 1900 นักผลิตรถยนต์ชาวออสเตรีย Jakob Lohner มีแนวคิดที่จะแก้ปัญหารถยนต์เสียงดังและน้ำมันที่ส่งกลิ่นเหม็นจากการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน จึงได้ทำการหารือกับ Ferdinand Porsche ชาวเยอรมันผู้ก่อตั้งรถยนต์ Porsche และเกิดแนวคิดสร้างระบบไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ผสานเข้ากันในรถยนต์ และได้มีการติดตั้งก่อนนำไปแสดงโชว์ครั้งแรกที่กรุงปารีสใรปี 1900 และนั่นก็ถือว่าเป็นรถยนต์ไฮบริดคันแรกของโลก

4. ถุงลมนิรภัยจากแนวคิดที่เกิดจากความห่วงใยคนในครอบครัว

John W Hetrick และสิทธิบัตรของเขา

John W Hetrick และสิทธิบัตรของเขา

ระบบความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานในรถยนต์ทุกคันในปัจจุบัน ถูกบันทึกเอาไว้ถึงจุดเริ่มต้น โดยกล่าวอ้างเอาไว้ว่าถุงลมนิรถัยที่ใช้ในรถยนต์นั้นถูกผลิตออกมาครั้งแรกเมื่อปี 1941 ในลักษณะเป็นถุงที่เต็มไปอากาศ และจากในรายงานปี 1951 เผยข้อมูลที่ชัดเจนขึ้น โดยมีรายละเอียดบันทึกไว้ว่า เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 1953 วิศวกรอุตสาหกรรมและสมาชิกของกองทัพเรือสหรัฐฯ อเมริกัน จอห์น แฮทริค ได้มีการออกสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับการจดทะเบียนถุงลมที่เขาออกแบบบนพื้นฐานของประสบการณ์ของเขาเองด้วยการบีบอัดอากาศจากตอร์ปิโด ระหว่างการให้บริการของเขาในกองทัพเรือ บวกกับความปรารถนาที่จะให้ความคุ้มครองแก่ครอบครัวของเขาเองในรถยนต์ของพวกเขาในระหว่างที่มีการเกิดอุบัติเหตุ 

ภาพการทดสอบถุงลมนิรภัยในสมัยโบราณ

ภาพการทดสอบถุงลมนิรภัยในสมัยโบราณ

จนกระทั่งหลังจากสิทธิบัตรหมดอายุลงในปี 1971 มันได้ถูกติดตั้งให้ทำการทดลองใช้งานในรถยนต์ยี่ห้อ Ford เพียงไม่กี่คันเท่านั้น ซึ่งในระหว่างเดียวกัน การคิดค้นและออกแบบถุงลมก็มีการพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่องจนได้มาเป็นแบบที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

5. เข็มขัดนิรภัยแบบสามจุดจากการต่อยอดเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด

สิทธิบัตรซ้าย : ต้นฉบับ / สิทธิบัตรขวา : ฉบับปรับปรุงใหม่

สิทธิบัตรซ้าย : ต้นฉบับ / สิทธิบัตรขวา : ฉบับปรับปรุงใหม่

แรกเริ่มของระบบความปลอดภัยในรถยนต์ สมัยที่ใช้เข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุดอย่างแพร่หลาย กลับพบปัญหามากมายที่ผู้ใช้งานรถยนต์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านอกจากจะป้องกันความปลอดภัยได้ไม่ดีแล้ว เหมือนว่าจะสร้างปัญหาให้มากขึ้นอีกด้วยซ้ำ จึงเกิดการคิดค้นเข้มขัดนิรภัยขึ้นมา เป็นการต่อยอดเข็มขัดแบบ 2 จุดเป็น 3 จุด โดยผู้คิดค้นเป็นชาวอเมริกันสองคนคือ Roger Griswold และ Hugh DeHaven ซึ่งรูปแบบของเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดใหม่มีชื่อเรียกว่า CIR หรือ Griswold restrain แต่อย่างไรก็ตามผลงานของทั้งคู่ยังไม่ได้นำมาถูกใช้งานในรถยนต์

Nils Bohlin ผู้นำแนวคิดรูปแบบเดิมไปต่อยอดและได้มาเป็นแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุด

Nils Bohlin ผู้นำแนวคิดรูปแบบเดิมไปต่อยอดและได้มาเป็นแบบที่มีประสิทธิภาพที่สุด

จนกระทั่งเมื่อทาง Nils Bohlin วิศวกรชาวสวีดิชซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ Volvo ได้นำแนวคิดไปต่อยอดและถูกพัฒนาออกมาเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดที่มีประสิทธิภาพและใช้งานได้สะดวกกว่ารูปแบบเดิม และถูกจดสิทธิบัตรในอเมริกาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 1962 และรถคันแรกที่ได้ใช้เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดคือ   หรือ Volvo Amazon ซึ่งการค้นพบนวัตกรรมใหม่นี้ ทาง Volvo ไม่จดลิขสิทธิ์เป็นกรรมสิทธิ์เป็นของคนเองเพียงผู้เดียว ทางค่ายได้อนุญาตให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ใช้เข็มขัดนิรภัยแบบใหม่นี้ด้วยเเพราะยึดมั่นในหลักอุดมการณ์ว่าความปลอดภัยของผู้ใช้นั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด จนถึงปัจจุบันผ่านมานานร่วม 50 ปีแล้ว สิ่งที่ Volvo สร้างไว้กลายมาเป็นบทบาทหลักสำคัญในวงการรถยนต์ไปอย่างเต็มภาคภูมิ

6. เครื่องเสียงรถยนต์แนวคิดเพื่อความอยู่รอด

สองพี่น้องตระกูล Galvin

สองพี่น้องตระกูล Galvin

ย้อนความกลับไปเมื่อปีค.ศ. 1928  บริษัทผู้ผลิต Battery Eliminators นามว่า Galvin Manufacturing Corporation ถือกำเนิดขึ้นมาภายใต้การจัดตั้งของสองพี่น้องตระกูล Galvin นั่นคือ Paul V. Galvin และผู้เป็นพี่ชายนามว่า Joseph Galvin โดยบริษัทผลิตแบตเตอรี่นี้ ได้ทำให้เครื่องวิทยุที่ใช้กระแสไฟในบ้านสามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ แต่ธุรกิจนี้ดำเนินการไปได้เพียงแค่ปีเดียว ก็เผชิญภาวะตลาดหุ้นล่มสลายจากพิษเศรษฐกิจอันตกต่ำในยุคนั้น และนั่นทำให้ Battery Eliminators มีบทบาทในตลาดน้อยลงและกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปในที่สุด สองพี่น้องจึงต้องมองหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาหล่อเลี้ยงให้ธุรกิจของตนดำเนินการต่อไปได้เพื่อความอยู่รอด

วิทยุรถยนต์เครื่องแรกที่ถูกผลิตภายใต้ชื่อ Motorola

วิทยุรถยนต์เครื่องแรกที่ถูกผลิตภายใต้ชื่อ Motorola

จนเมื่อทั้งคู่ได้ศึกษาและมองเห็นความต้องการตามยุคสมัยของผู้บริโภคที่ประเมินไว้แล้วว่าจะมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง อย่างทางเทคโนโลยีด้านวิทยุที่อยู่ในกระแสได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก Galvin จึงเข้าสู่การพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขและประยุกต์ให้มีการติดตั้งวิทยุในรถยนต์และได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยวิทยุติดรถยนต์เครื่องแรก ถูกผลิตขึ้นภายใต้ชื่อ Motorola และพัฒนาต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจนกระทั่งแปรผันกลายมาเป็นระบบเครื่องเสียงที่มีออฟชั่น ส่วนเสริมต่าง ๆมาสร้างความสมบูรณ์แบบให้แก่รถยนต์ในปัจจุบัน

วิวัฒนาการของเทคโลยีต่างสร้างสรรค์ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

วิวัฒนาการของเทคโลยีต่างสร้างสรรค์ให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

ในยุคสมัยที่ความล้ำหน้าและอุปกรณ์รองรับทางเทคโนโลยียังเทียบไม่เท่ากับปัจจุบัน แต่ความคิดของคนในยุคนั้นต้องยอมรับว่าสร้างสรรค์มาก ๆ และกลายเป็นสิ่งที่จุดประกายให้คนยุคหลังได้นำมาพัฒนาต่อยอดและกำเนิดสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้แก่ชีวิตได้อย่างทรงคุณค่าและเต็มประสิทธิภาพ และวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์เราก็จะคงดำเนินไปอย่างไม่รู้จบควบคู่ไปกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ไม่มีวันหยุดขับเคลื่อนเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่าเช่นกัน

AI เทคโนโลยีที่ถูกสร้างมาเพื่อปัจจุบัน สู่อนาคต

AI

AI (Artificial Intelligence) หรือที่เรียกกันว่า “ปัญญาประดิษฐ์”  AI ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่กำลังมาแรงในยุคสมัยนี้เลยก็ว่าได้ 

คงต้องยอมรับเลยว่า ปัญญาประดิษฐ์ หรือจะเรียกว่าเป็น Machine Learning เป็นที่นาสนใจมาในระยะเวลาหนึ่งแล้ว จนในปัจจุบัน จะเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ ที่คนทั่วโลหให้ความสนใจ และพัฒนาต่อเนื่อง ที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในหลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านธุรกิจ และด้านอุตสาหกรรมอีกด้วย หรือจะว่าไปแล้วระบบนี้มันเกิดมาเพื่อยุคอนาคตอย่างแท้จริง 

และเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ ให้กับมนุษยชาติ ที่สร้างความสะดวกสบาย ทั้งต่อการดำรงชีวิต และการเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ (Big Data) ที่สามารถจะวิเคราะห์ และตอบสนอง ความต้องการ ได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคธุรกิจ ที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง 

AI (Artificial Intelligence) 

เป็นอีกหนึ่งการสร้างระบบการเรียนรู้ข้อมูล และการทำลายข้อมูล  รวมไปถึง Data Platform ต่างๆ ที่เพิ่มศักยภาพในการประมวลผล และการเรียนรู้ โดยระบบปฏิบัติการที่ถูกพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยในการทำนายผลของข้อมูลได้เป็นอย่างดี

เนื่องจากระบบปฏิบัติการของ AI มีความจำ ในการใช้การเรียนรู้ ผ่านข้อมูลต่างๆได้เป็นอย่างดียิ่ง ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสามารถสร้าง AI ให้มีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย จะเรียกได้ว่า เป็นเสมือนอุปกรณ์พิเศษ ที่เพิ่มความสามารถ ในการสร้าง การจดจำ และการประมวลผล 

AI

รวมไปถึงการตอบสนอง ในสถานการณ์ต่างๆ และรวบรวมออกมา เป็นข้อมูล สถิติ ซึ่งจะพบว่าแมชชีนเลิร์นนิ่ง ที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ในการเลือกความแตกต่าง การตัดสินใจ ของระบบ AI ที่พัฒนาจนเป็นเสมือนมันสมองของมนุษย์ ที่ตอบสนองความรู้สึก และการรับรู้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในบางประเทศมีความจำเป็นอย่างมากที่ต้องใช้ทรัพยากรในการประมวลผลจำนวนมาก และการนำเอาฮาร์ดแวร์พิเศษ ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะในการช่วยการประมวลผลจำนวนมาก เพื่อลดระยะเวลาในการประมวลผลได้เป็นอย่างดี จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการตัดสินใจในการทำเรื่องอยากให้เป็นเรื่องง่ายได้นั่นเอง 

AI

อีกทั้งยังสามารถที่จะช่วยเสริมพลังการแยกแยะได้เป็นอย่างดีด้วย Deep Learning อีกด้วย ซึ่งในเวลานี้ทุกคนสามารถเข้าใจและตระหนักถึงประโยชน์ของ AI ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเราสามารถสร้างระบบที่มีความซับซ้อน เพื่อใช้ในการจำแนกและแยกแยะสิ่งต่างๆได้ และเราก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการออกแบบ ui ตามวิธีของการทำงานของสมองมนุษย์เลยทีเดียว 

รวมไปถึงการระบุตัวตน โดยสามารถระบุตัวตนผ่านไบโอเมตทริกซ์ ที่เรียกได้ว่าสามารถที่จะตรวจเช็คอย่างเช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา หรือภาษากาย และเสียงได้ โดยการพัฒนาระบบของ AI จึงเป็นอีกหนึ่งความสามารถ ที่จะจดจำรูปแบบ และแยกแยะ เพื่อใช้ในการยืนยันตัวตน หรือระบุตัวตนของผู้ใช้งานได้อีกด้วย

ประโยชน์ของมันยังไม่หยุดแค่นั้น มันยังสามารถที่จะสร้างมา เพื่อรู้จักภาษามนุษย์ ที่ช่วยให้มนุษย์ใช้งานได้เป็นอย่างดี โดยระบบประสาท และประมวลผลภาษาธรรมชาติเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์ กับคอมพิวเตอร์ ได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างสูงที่สุด ด้วยเทคโนโลยีที่มีการวิเคราะห์คำสั่ง และความต้องการภาษาต่างๆ 

โดยเราจะเห็นได้เป็นอย่างดีในการใช้งานผ่าน Google นั่นเองที่สามารถตอบโต้ และพูดคุยกันด้วยเสียงสังเคราะห์ เสียงที่พูดเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งระบบ ที่สามารถทำงานกันเป็นแบบแผน และเป็นทีมได้ และสามารถโต้ตอบกับคอมพิวเตอร์ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วทันใจ  

AI

เข้าถึงทุกบริการได้ง่ายๆ ด้วยผู้ช่วยเสมือนจริง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำให้เราสามารถเข้าถึงคลังความรู้ หรือบริการต่างๆได้เป็นอย่างดีได้แบบที่เรียกได้ว่าไม่รู้จบเลยก็ว่าได้ ที่เรารู้จักกันอย่างชัดเจนและเห็นได้อย่างเป็นรูปประธรรมมากที่สุด นั่นก็คือ Siri ซึ่งสามารถเข้าถึง และเข้าใจถึงตารางงาน อีเมล หรือ นาฬิกา 

รวมถึงสิ่งต่างๆที่คุณควรที่จะมีอีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถที่จะเข้าใจความต้องการของมนุษย์ และยังสามารถที่จะใช้ในการบริการ หรือการค้นหา เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์และสร้างความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี 

อีกทั้งยังมีระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ที่เรียกได้ว่าถูกนำไปใช้ในวงการอุตสาหกรรมได้อย่างยาวนาน แต่การนำหุ่นยนต์มาประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนในชีวิตประจำวันของเรา ที่มีความจำกัดที่สามารถใช้ได้เลยทีเดียว 

เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าประโยชน์ของ AI นั้นมีมากมายหลากหลายรูปแบบให้คุณได้รู้จักกันและถือว่าแต่ละอย่างนั้นค่อนข้างที่จะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งานไม่น้อยเลยก็ว่าได้และเรียกว่ายิ่งพัฒนาไปเรื่อยๆความต้องการเหล่านี้นั้นก็จะเป็นอีกหนึ่งทรัพยากรแห่งมนุษย์ที่เรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวและชัดเจนที่สุดอีกด้วย

AI เทคโนโลยีที่ถูกสร้างมาเพื่อปัจจุบัน สู่อนาคต

เกี่ยวกับเทคโนโลยี

Canon เปิดตัวกล้องถ่ายหนัง EOS C70 เมาท์ RF ถ่ายสโลโมชั่น 4K 120p ได้

Canon EOS C70

แคนนอน เสริมความแข็งแกร่งให้กับกล้องเมาท์ RF อีกทางเลือก สำหรับผู้ที่ต้องการกล้องที่รองรับการใช้งานถ่ายวิดีโอแบบมืออาชีพโดยเฉพาะ เปิดตัว Canon EOS C70 สมาชิกใหม่ในตระกูล Cinema EOS ที่มาพร้อมเมาท์ RF ที่เป็นมาตฐานใหม่สำหรับยุคดิจิตอล ที่กล้องสามารถสื่อสารข้อมูลปริมาณมากกับเลนส์ได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพสูง ตัวกล้องมีรูปทรงกะทัดรัดและน้ำหนักเบา รองรับการถ่ายภาพความเร็วสูงระดับ 4K/120p ช่วยในการสร้างสรรค์งานภาพที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างเข้มข้น

EOS C70 เป็นกล้องในตระกูล Cinema EOS รุ่นแรกที่ใช้เมาท์ RF จึงสามารถใช้งานร่วมกับเลนส์ RF ในระบบ EOS R System ของแคนนอนได้ทุกรุ่น และเมื่อใช้งานร่วมกับเมาท์อะแดปเตอร์ EF-EOS R 0.71x (จำหน่ายแยกต่างหาก) ก็สามารถใช้ร่วมกับเลนส์ในตระกูล EF ได้อีกมากมาย(รวมถึงเลนส์ CN-E (EF cinema) ไม่รวมเลนส์ EF-M และเลนส์ที่ใช้ระบบโฟกัสแบบแมนนวลบางรุ่น) โดยให้มุมมองภาพแบบเดียวกับเลนส์ฟูลเฟรม และให้ความสว่างของภาพเพิ่มอีก 1 สต็อป เพิ่มศักยภาพในการสร้างสรรค์งานภาพยนตร์ให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

กล้องถ่ายภาพยนตร์รุ่นนี้มาพร้อมเซ็นเซอร์ 4K Super 35mm CMOS DGO (Dual Gain Output) ให้ภาพถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงถึง 4K 4:2:2 (10 bit) ที่ไล่เฉดสีได้อย่างสวยงามกลมกลืน แม้ถ่ายในสภาพแวดล้อมที่มีการเปรียบต่างสูง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ไดนามิกเรนจ์สูง อีกทั้งมีหน่วยประมวลผลภาพ DIGIC DV7 ที่ทำงานอย่างฉับไว ผู้ใช้จึงสามารถถ่ายวิดีโอ 4K/120p โดยบันทึกลงในการ์ดหน่วยความจำมาตรฐานแบบ SD UHS-II

Canon เปิดตัว “EOS Webcam Utility” ใช้กล้องเป็นเว็บแคมได้เต็มรูปแบบ

EOS Webcam Utility

แคนนอน ประกาศเปิดตัว “ซอฟต์แวร์ EOS Webcam Utility เวอร์ชั่นเต็มรูปแบบสำหรับ Windows” อย่างเป็นทางการ โดยเพิ่มฟังก์ชั่นกล้องให้เป็นเว็บแคม เพื่อการติดต่อสื่อสารกันผ่านทางวิดีโอออนไลน์ด้วยคุณภาพที่คมชัด ซอฟต์แวร์นี้จะสามารถใช้งานได้กับกล้อง EOS แบบถอดเปลี่ยนเลนส์ได้และกล้องในตระกูล PowerShot ทั้งหมด 42 รุ่น ทั้งรวมถึงกล้อง EOS R5 และ EOS R6 รุ่นใหม่ที่เพิ่งวางจำหน่าย (ดูรายชื่อรุ่นตามตารางด้านล่าง) และสามารถใช้ได้กับแอพพลิเคชั่นการประชุมออนไลน์แบบวิดีโอ และแอพพลิเคชั่นไลฟ์สรีมมิ่งที่ได้รับการทดสอบแล้ว  ได้แก่ Zoom, Facebook Live, Skype, YouTube Live, Microsoft Teams, Discord, Cisco Webex, Streamlabs, Google Meet, Open Broadcaster Software(OBS), Google Hangouts, Slack, Facebook Messenger

นอกจากนี้ ผู้ใช้งานที่ต้องการบันทึกไฟล์วิดีโอคุณภาพสูงไปยังการ์ดความจำของกล้องขณะสื่อสารผ่านทางออนไลน์หรือไลฟ์สรีมมิ่ง สามารถทำได้อย่างง่ายดาย  เพียงแค่กดปุ่มบันทึกบนกล้องแทนการสั่งผ่านซอฟต์แวร์ เวอร์ชั่นปัจจุบันนี้จะรองรับการใช้งานร่วมกับ Windows 10 เท่านั้น ส่วนเวอร์ชั่นเต็มรูปแบบสำหรับ macOS กำลังอยู่ในดำเนินการซึ่งจะเปิดให้ดาวน์โหลดเร็วๆนี้ ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ EOS Webcam Utility

กล้องแคนนอนรุ่นที่รองรับซอฟท์แวร์ EOS Webcam Utility

EOS R5EOS 5D Mark IIIEOS 100DPowerShot SX70 HS
EOS R6EOS 5D Mark IVEOS 200DPowerShot G7 X Mark III
EOS M200EOS 5DSEOS 200D IIPowerShot G5 X Mark II
EOS M50EOS 5DS REOS 600D
EOS M6 Mark IIEOS 6DEOS 700D
EOS REOS 6D Mark IIEOS 750D
EOS RPEOS 7DEOS 760D
EOS RaEOS 7D Mark IIEOS 800D
EOS-1D XEOS 60DEOS 850D
EOS-1D X Mark IIEOS 70DEOS 1100D
EOS-1D X Mark IIIEOS 77DEOS 1200D
EOS-1D CEOS 80DEOS 1300D
EOS 90DEOS 1500D
EOS 3000D

เกี่ยวกับเทคโนโลยีกล้องวิดีโอเว็บแคม

Canon เปิดตัว “EOS Webcam Utility” ใช้กล้องเป็นเว็บแคมได้เต็มรูปแบบ

เรื่องชวนคิด : หรือกฎหมาย (ควร) กำหนดทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยี

การพัฒนาเทคโนโลยีในโลกปัจจุบันไม่สามารถดำเนินการได้โดยไม่คำนึงถึงบริบททางกฎหมาย มีแนวคิดนำเครื่องมือทางกฎหมายหลายอย่างมาปรับใช้เพื่อการบริหารจัดการ และกำกับดูแลเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว เมื่อเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใดได้รับการยอมรับจากภาคธุรกิจ ประชาชน และสังคมในวงกว้าง รัฐอาจจำเป็นต้องออกมาตรการบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบ หรือหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสาธารณสุข จ้างงาน หรือสร้างมาตรฐานการวิเคราะห์และประเมินภาษีและความเสี่ยงจากการดำเนินการ เป็นต้น เพื่อป้องกันบรรเทาผลกระทบหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมอย่างผิดวิธี

ที่ผ่านมา มีตัวอย่างของผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมจากการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่จำนวนมาก แต่ที่สำคัญกว่าการใช้กฎหมายเป็นเครื่องรับมือเทคโนโลยีคือ กฎหมายยังมีส่วนสำคัญในการกำหนดกรอบการตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็เป็นเกราะป้องกันกรณีมีการนำนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาใช้เป็นการทั่วไปในสังคม ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นใหญ่ เราอาจลืมไปว่ากฎหมายไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือของรัฐในการจัดการเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น แต่สามารถใช้กฎหมายเป็น “ไม้ตาย” ของสังคมในการคาดการณ์ กำหนดทิศทางของการ “เกิด” “ดับไป” ขององค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยซึ่งเป็นหน้าที่ของกฎหมายที่สำคัญประการหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เอง นอกจากผู้ยกร่างกฎหมายและหน่วยงานกำกับดูแลต้องปรับตัวให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแล้ว ยังต้องมี “ความกล้าหาญ” และ “ความคิดสร้างสรรค์” ในการพลิกแพลงเครื่องมือทางกฎหมายที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมหรือนวัตกรรมเป็นประโยชน์ และยับยั้งการกระทำหรือเทคโนโลยีที่อาจเป็นโทษต่อสังคมโดยรวม

แนวทางการออกกฎหมายเชิงรับ ที่ผ่านมา รัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายแทรกแซงการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้วยวัตถุประสงค์ 2 ประการ

ประการแรก เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการสร้างและคิดค้นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว โดยสร้างระบบการให้และกำหนดสิทธิความเป็นเจ้าของในทรัพย์สินทางปัญญา แก่บุคคลหรือองค์กรที่สร้างหรือต่อยอดการพัฒนานวัตกรรม

ประการที่สอง วางโครงสร้างกฎเกณฑ์ในการจัดสรรการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายทางอ้อมต่อประชาชนหรือสังคม โดยเฉพาะกลุ่มที่อาจไม่รู้เท่าทันนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเหล่านั้น

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะนี้ เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลทั่วไปของสหภาพยุโรป (General Data Protection Regulation – GDPR) ซึ่งกำหนดมาตรฐานขั้นสูงคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กำหนดให้การเก็บรวบรวม การใช้ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้น และสิทธิในการเรียกร้องให้ผู้บริหารจัดการข้อมูลลบข้อมูล ซึ่งในส่วนประเทศไทย คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. …. เมื่อ 22 พ.ค. 2561

การที่รัฐเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี ภายหลังมีการนำเทคโนโลยีเสนอให้ประชาชนเข้าถึงหรือใช้งานแล้ว (ex post facto intervention) เป็นการดำเนินการเชิงรับ (reactive role) แต่ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายจะไม่มีประโยชน์หรือมีบทบาทน้อยลง

กฎหมายเก่า แต่เทคโนโลยีใหม่มา

เมื่อกฎหมายที่มีอยู่แล้วเกิดความกำกวมหรือไม่ชัดเจน เพราะบริบททางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว รัฐจำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขหรือยกร่างกฎหมายใหม่เพื่อรองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ (disruptive technology) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่า ปัจจุบันกฎหมายที่กำกับดูแลล้าสมัยและไม่ยืดหยุ่น อย่างไรก็ดี ปัญหาหลักคือ ไม่ว่ารัฐจะพยายามเพียงใดเพื่อออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี แต่ขั้นตอนการกลั่นกรองรวมทั้งกระบวนการร่างกฎหมายใช้ระยะเวลานาน เมื่อกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับ เทคโนโลยีก็มักแซงหน้า ทำให้กฎหมายที่ออกใหม่ล้าสมัยตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มบังคับใช้

กรณีศึกษาที่น่าติดตามพัฒนาการคือ พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (บังคับใช้เมื่อ 14 พ.ค. 2561) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ยืมโครงสร้างและกลไกการควบคุมและกำกับมาจากกฎหมายกำกับดูแลหลักทรัพย์ (บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2535) ไม่ว่าจะเป็นการกำกับการออกเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน (เทียบเคียงการกำกับดูแลการขายหลักทรัพย์ที่ออกใหม่ต่อประชาชน) หรือมาตรการการลงโทษเจ้าหน้าที่บริษัทที่นำข้อมูลลับไปใช้หากำไร ด้วยการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ว่าจะกระทำเองหรือส่งต่อข้อมูลให้ผู้อื่น (คือความผิดเกี่ยวกับ insider trading นั่นเอง)

ในฐานะที่ผู้เขียน ได้รับมอบหมายให้เป็นฝ่ายเลขานุการยกร่างกฎหมาย”คริปโท” ฉบับนี้ หวังอย่างยิ่งว่า กฎหมายดังกล่าวจะบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ กล่าวคือ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินสมัยใหม่ และป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม