Slider
ดูหนังเอเชีย

Blog

สเปคกล้องเว็บแคม สำหรับ Live Streaming เพื่อเหล่า Gamer

ถ้าพูดถึงธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และเม็ดเงินหมุนเวียนจำนวนมาก ทุกคนคงนึกถึงวงการเกมส์ และธุรกิจ E-sport นั้นกำลังเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนผู้เข้าถึงเกมบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในปริมาณมหาศาล ทำให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ขึ้นมาบนโลกมากมายในไม่กี่ปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นสายฮาร์ดคอร์อย่างนักเล่นเกมมืออาชีพ โค้ชสำหรับทีมแข่งขัน นักพากย์กีฬาอิเล็กทรอนิกส์ หรือสายแคชช่วลแบบยูทูปเปอร์ และสตรีมเมอร์ ซึ่งอาชีพเหล่านี้ก็ได้กลายมาเป็นอาชีพในฝันของหลาย ๆ คน วันนี้เราจะมาพูดกันถึงอาวุธชิ้นสำคัญของเกมสตรีมเมอร์ หรือนักแคสเกมหนึ่งในอาชีพในฝันของทุก ๆ คนกันอย่างกล้องเว็บแคม

กล้องธรรมดา ๆ ไม่ได้เหรอ ?

กล้องแคมแชท หรือกล้องเว็บแคม แต่เดิมเป็นอุปกรณ์สำหรับทำการไลฟ์แชท หรือสื่อสารทางไกลเท่านั้น ด้วยความที่ไมได้มีโปรแกรมอะไรที่สามารถรองรับไลฟ์แชทและสามารถ่ายทอดสดได้ด้วยความเร็วสูงทำให้กล้องสมัยก่อนไม่ได้มีสเปคดีเท่าไหร่นัก และราคาก็จะออกไปทางค่อนข้างถูก นั่นทำให้หลาย ๆ คนที่เคยชินกับราคากล้องเว็บแคมตัวละ 200 แบบแต่ก่อนอาจจะต้องตกใจกับราคาในสมัยนี้ แต่ถ้าเปรียบเทียบสเป็คดี ๆ แล้วล่ะก็ จะพบได้เลยว่าจริง ๆ แล้วกล้องตัวดี ๆ ก็ไม่ได้มีราคาแพงอะไรเลย ยิ่งในสมัยนี้แพลตฟอร์มสำหรับสตรีมมิ่งนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การเลือกสรรอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ

1080เลยดีมั้ย ยังไงก็ต้องจ่าย ?

กล้องแคมแชทสำหรับ Live Stream ในยุคนี้คงจะมีมาตรฐานความละเอียดภาพอยู่ที่ 720p และบางตัวที่เป้นที่นิยมกันก็สูงถึง 1080แต่ก่อนที่เหล่าสตรีมเมอร์จะเผลอซื้อกันอยากให้รองรีเช็คตัวเองดูดี ๆ ว่า ตัวเองต้องการความละเอียดเท่าไหร่ การอัพโฟลดไฟล์ขนาด 1080โดยการ Live Stream อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะขนาดภาพไม่ได้เป็นมิตรทั้งกับผู้รับ และผู้ส่งเท่าไหร่นัก ตัวกล้องพวกนี้จะเหมาะกับการถ่ายอัดแล้วตัดต่อแบบยูทูปเบอร์ หรือคนที่มีเน็ตแรง ๆ ที่สามารถอัพภาพได้เสถียร  โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ของตัวกล้องว่าเขาตั้งค่าให้กล้องจัดการยังไงเมื่ออินเตอร์เน็ทเราตก หรือช้านั่นเองซึ่งความชัด 720เอาจริง ๆ ก็จัดว่าชัดมาก ๆ แล้วในการถ่ายทอดฉะนั้นการลงทุนกับกล้องตัวแรกก็ต้องลองถามตัวเองก่อนว่า “ของมันต้องมีมั้ย ?” เกิดว่าวันไหนเราอยากจะเลิกการลงทุนน้อยก็ช่วยเซฟตัวเราได้เช่นกัน

นอกเหนือจากขนาดภาพแล้วต้องดูอะไรอีกบ้าง ?

นอกเหนือจากขนาดภาพแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพยายามหารีวิวเรื่องความทนทานการใช้งาน ซื้อกล้องตัวนึงมา 2,000 ใช้ได้ครึ่งปีพังแล้วอันนี้ก็คงจะไม่ไหว เกมมิ่งเกียร์ยี่ห้อหลอกเด็กต่อให้คุณภาพไม่ดีเท่าที่โม้ก็ยังพอใช้ได้ แต่ถ้าเป็นกล้องเว็บแคมแล้วล่ะก้ขอบอกเลยว่ายอมซื้อของในยี่ห้อที่ไว้ใจได้ดีกว่า นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเรื่องวิธีการ Live Stream ของเราครับ เพราะกล้องบางตัวก็มาพร้อมกับ Original Software ที่ช่วยในการสตรีมทำให้การสตรีมมีความหลากหลายมากขึ้นไปด้วย เช่นเดียวกับสาย VR หรือ Streamer บางคนที่ใช้ Green Screen ก็ต้องดูกล้องที่มีค่าชดเชยแสงสูง ๆ และ Noise น้อย ๆ หน่อยเพราะถ้าเกิดว่าภาพมืดเกินไปและมีนอยซ์มาก ตอนตัดกรีนสกรีนรับรองได้เลยว่าไม่น่าดูแน่ ๆ นั่นเอง

แล้วกล้องตัวไหนกำลังมาแรง ?

  • Logitech C920

คุณสามารถเพิกเฉยต่อ Logitech C922 ที่เพิ่งออกมาได้เลยเพราะลูกเล่นของกล้องเว็บแคม C922 ไม่ได้มีความสำคัญกับการ Live Stream เท่าไรนัก ส่วนมากเป็นลูกเล่นที่เหมาะกับการเอาไปใช้ทำ V-log หรือท่องเที่ยวนอกสถานที่มากกว่า ฉะนั้นถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายติดบ้าน Logitech C920 นั้นสบายกระเป๋ามากกว่าและยังมีสเปคที่จัดได้ว่าคุ้มราคามาก ๆ ตัวกล้องรองรับขนาดภาพทั้ง 720p และ 1080p แต่คุณอาจจะต้องการไมโครโฟนดี ๆ และการจัดไฟดี ๆ เพื่อทำให้ตัวกล้องแสดงศักยภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่ไม่ต้องกลัวว่าใช้ธรรมดา ๆ จะไม่สวยเพราะ Logitech ยังเป็นกล้อง Live Stream ที่เหล่า Streamer ไม่ว่าจะเป็นมือเก่าหรือใหม่ก็เลือกใช้งานมันมากที่สุด เป็นตัวแทนการันตีความสามารถของมันนั่นเอง

  • Razer Kiyo

อีกตัวนึงที่น่าสนใจแต่ถ้าจะให้พูดจริง ๆ การใช้งานของ C920 ภาพรวมนั้นก็ยังดีกว่า Kiyo อยู่ แต่ข้อดีของเจ้า Razer Kiyo คือการที่มันแถมไฟมาพร้อมกับกล้องด้วยทำให้เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้เริ่มต้นเพราะแทบจะไม่ต้องจัดไฟอะไรให้ยุ่งยาก แนวภาพของ Kiyo ในห้องสว่าง ๆ จะฟุ้งคล้ายกับใช้แอพพลิเคชั่น Camera 360 ในขณะเดียวกันตัวมันกลับใช้งานได้ดีมาก ๆ เมื่อแสงน้อยและให้ภาพได้ชัดและสวยกว่า C920 ในห้องมืด ๆ นั่นเอง

สายอาชีพสตรีมเมอร์นับได้ว่าเป็นตลาดหลักของคนไทยที่อยากทำงานสายเกมมิ่ง เพราะคนไทยมีนิสัยที่ชอบการดูเกมแคสติ้ง (game casting) มากกว่าเล่นด้วยตัวเอง แต่เสน่ห์ของการสตรีมเกมนั้นยังมีอีกอย่างนั่นก็คือการที่ผู้สตรีมได้ร่วมสุนกและพูดคุยกับแฟนคลับทุก ๆ คนผ่าน Live Steam นั่นเอง ในยุคที่เครื่องเล่นเกมเข้าถึงทุกคนได้ง่าย ๆ บรรยากาศของการนัดรวมตัวกันที่บ้านของเพื่อนซักคน หรือร้านเกม แล้วก็เล่นไปคุยกันไปอย่างออกรสแบบแต่ก่อนก็คงไม่ใช่เรื่องปกติกันอีกแล้ว แต่สิ่งที่ทดแทนมาก็คงจะเป็นการคุยกับเพื่อน ๆ และแฟนคลับ ผ่านกล้องเว็บแคม นั่นเองที่ทำให้เกิดคอมมูนิตี้ของ Live Steamer และผู้ชมขนาดใหญ่ขึ้นมาในประเทศไทย มันอาจจะต้องใช้ทั้งเงิน เวลา และความพยายามในการเข้าไปเป็นตัวตนหนึ่งในคอมมูนิตี้เหล่านั้นแต่ผมก็หวังว่าจะได้เห็นทุก ๆ คนได้ทำตามความฝันตัวเองนะครับ

Razer Kiyo กล้องเว็บแคมที่มาพร้อม Ring Light LED

บริษัท เอสเซนตี้ รีซอร์สเซส จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์ Razer ผู้นำนวัตกรรม Gaming Gear ของโลกขอนำเสนอ Razer Kiyo กล้องเว็บแคมพร้อมฟีเจอร์เด็ดสำหรับนักเล่นเกมสายสตรีมเมอร์ ที่สามารถสร้างมินิสตูดิโอได้ทุกเวลา Selfie ก็สวย Live ก็เห็นภาพชัดเจนทุกเหตุการณ์

Razer Kiyo โปรดักไลน์ใหม่จากแบรนด์เกมมิ่งระดับโลก มากับสเปคการันตีภาพสุดคมชัดด้วยความละเอียด 720p @60fps เป็นเฟรมเรทที่สูงสุดและให้ความลื่นของภาพได้ดีที่สุด แต่ถ้าคุณต้องการภาพความคมชัดระดับ Full HD สามารถรีดความละเอียดได้ถึง 1080p @30fps ลักษณะสีของกล้องนี้ออกโทน Warm เหลืองนวล พร้อมมีไมโครโฟนในตัว

Razer Kiyo พกฟีเจอร์ไฟโอริงเพื่อให้ได้แสงสว่างที่นุ่มนวลแนวเดียวกับไฟสตูดิโอ รักษาแสงสว่างและลดแสงเงาให้กับคุณ นอกจากนี้สามารถปรับระดับความสว่างได้ถึง 12 ระดับตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมนั้นๆ ค่าสีของไฟอยู่ที่ 5600K “daylight” พร้อมรองรับการทำงานร่วมกับโปรแกรมสตรีมสุดดังอย่าง OBS และ XSplit

รายละเอียดสเปคกล้องเว็บแคม Razer Kiyo

Camera

  • Connection type: USB2.0
  • Image resolution: 4 Megapixels
  • Video Resolution: 1080p @ 30FPS / 720p @ 60FPS / 480p @ 30FPS / 360p @ 30FPS
  • Video encoding: YUY2/MJPEG or H.264
  • Still Image Resolution: 2688×1520
  • Image Quality Settings Customization: Yes
  • Diagonal Field of View (FOV): 81.6 °
  • Focus Type: Auto
  • Mounting Options: L-shape joint and Tripod (Not included)
  • Cable Length: 1.5 meters braided cable

Ring light

  • Illumination: 12 white LEDs
  • Color Temperature: 5600K “daylight”
  • LED Diffuser: Milky White
  • Buttons: 12 step ring dial
  • Brightness: 10 Lux @ 1m

Microphone

  • Audio Codec: 16bit 48KHz
  • Polar patterns: Omnidirectional
  • Sensitivity: -38dB

System Requirements

  • PC with a free USB port
  • Windows® 7 (or higher)
  • Internet connection
  • 500 MB of free hard disk space*

*Increased system requirements and additional software may be required for certain applications.

Package Contents

  • 1 x Razer Kiyo with attached USB2.0 cable
  • 1 x Important Product Information Guide

​ราคาสินค้า
Razer Kiyo – 4,290 บาท​
รับประกันสินค้า 1 ปีเต็ม โดยบริษัท Ascenti Resources

BRIO สุดยอดกล้องเว็บแคม รองรับ 4K และ HDR

ใครที่กำลังมองหากล้องเว็บแคมเจ๋งๆสักตัว นี่คือ BRIO สุดยอดกล้องเว็บแคม ที่มาพร้อมเลนส์มุมกว้างรองรับความละเอียด 4K และเทคโนโลยี HDR

BRIO

ใครที่กำลังมองหากล้องสำหรับแชทแบบเห็นหน้ากับเพื่อน, แชทกับลูกค้าหรือจะบันทึกวิดีโออยู่ BRIO จาก Logitech ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจ กล้องตัวนี้มาพร้อม 3 เทคโนโลยีเพื่อสร้างความแตกต่างจากกล้องเว็บแคมทั่วไป นั่นก็คือ เซนเซอร์ความละเอียด, เทคโนโลยี HDR และเลนส์มุมกว้างเห็นภาพได้มากขึ้น

เริ่มจากเทคโนโลยี 4K นั้น สามารถถ่ายทำได้ที่ 30 เฟรมต่อวินาที ถ้าปรับเป็น Full HD ก็จะเลือกได้ระหว่าง 30 หรือ 60 เฟรมต่อวินาที  โดยทาง Logitech ได้ใส่อัลกอริทึ่ม RightLight เวอร์ชั่น 3 มาให้ด้วย ซึ่งมันจะช่วยถ่ายภาพด้วย HDR ทำให้เราเห็นส่วนมืดและส่วนสว่างที่แตกต่างกันมากๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นผลมากๆเวลาที่เราใช้กล้องตอนแสงน้อยๆ

BRIO

ในส่วนของมุมมองภาพ เลนส์ที่เค้าเลือกใช้มีมุมมองกว้าง 90 องศาพร้อมระบบออโตโฟกัส จึงทำให้ภาพที่ได้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เห็นข้างหลังมากไปก็เลือกปรับมุมมองเป็น 60 หรือ 78 องศาก็ได้ นอกจากนั้นยังมีดิจิทัลซูมได้มากถึง 5 เท่า ส่วนลูกเล่นอื่นๆก็มี  structured light sensor แบบเดียวกับที่ใช้ใน Kinect ยิงแสงอินฟราเรดออกไปช่วยวัดระยะห่างระหว่างคนกับกล้อง ตามด้วยอัลกอริทึ่มสำหรับลดน้อยซ์และเช็คฉากหลังถ้ามันพบว่าฉากหลังรก มันก็จะช่วยเบลอสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ทำให้คุณเด่นขึ้น ,มีไมโครโฟนใช้แบบ omni-directional ใส่มาให้ถึงสองตัวพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนเพื่อให้คู่สนทนาได้ยินเสียงคุณชัดเจน ที่สำคัญยังผสานการทำงานกับฟีเจอร์ Windows Hello ใน Windows 10 ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการล็อกอินเครื่อง ป้องกันไม่ให้คนมาแอบดูข้อมูลได้

สำหรับคนที่สนใจสนนราคาขายอยู่ที่ $199 หรือประมาณ 7,000 บาท พร้อมรับประกัน 3 ปี เริ่มวางตลาดแล้วในหลายๆประเทศ

ชนิดของกล้องเว็บแคม (Webcam)

ชนิดของกล้องเว็บแคม (Webcam)

กล้องเว็บแคม (Webcam) แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ แบบมีสาย และแบบไร้สาย โดยแต่ละชนิดมีความแตกต่างกันดังนี้

กล้องเว็บแคม (WebCam) แบบมีสาย

จะมีความยุ่งยากในเรื่องการใช้สายต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่จะมีราคาถูกกว่าแบบไร้สายมาก ทำให้คนส่วนใหญ่นิยมซื้อกล้องเว็บแคม (Webcam) แบบมีสายมาใช้งาน ข้อเสีย ของกล้องเว็บแคม (Webcam) แบบมีสาย คือ ทำให้ไม่สามารถวางตัวกล้องได้ไกลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้กล้องไม่สามารถจับภาพเคลื่อนไหวในระยะไกล ๆ ได้เหมือนแบบไร้สาย

กล้องเว็บแคม (Webcam) แบบไร้สาย

จะมีราคาค่อนข้างแพงมากเมื่อเทียบกับแบบมีสาย เนื่องจากตัวกล้อง ต้องใช้เทคโนโลยีแบบไร้สายที่เรียกว่า Wireless WiFi หรือ IEEE 802.11 ที่ค่อนข้างมีต้นทุนสูง จึงส่งผลให้ตัวกล้องมีราคาแพงจึงไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก จุดเด่น ของกล้องเว็บแคม (Webcam) แบบไร้สาย คือ สามารถนำไปติดตั้งที่จุดใดก็ได้ โดยไม่ต้องคำนึงระยะห่างระหว่างตัวกล้องกับคอมพิวเตอร์

ส่วนประกอบของกล้องเว็บแคม (Webcam)

โดยหลัก ๆ แล้ว การซื้อกล้องเว็บแคม (Webcam) มาใช้งาน จะเห็นว่ากล้องเว็บแคม (Webcam) ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้

  1. เลนส์กล้อง จะทำหน้าที่ในการจับภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวผ่านไปมาอยู่หน้ากล้องหรืออยู่ในตำแหน่งที่เลนส์กล้องสามารถมองเห็นภาพได้
  2. ตัวปรับระยะโฟกัส จะทำหน้าที่ในการปรับโฟกัสของภาพเพื่อให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น
  3. ฐานรองกล้อง มีไว้สำหรับเป็นที่ตั้งของตัวกล้องซึ่งช่วยให้เราสามารถวางกล้องบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้สะดวก

สมัยนี้เว็บแคมดียังไง เรามาดูกัน!

ในสมัยนี้ เว็บแคมค่อนข้างที่จะมีความจำเป็นมากสำหรับคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่หน้าคอม ทั้งเหล่าสตรีมเมอร์ ดีเจ หรือแม้กระทั่งคนที่อยากจะคุยกับเพื่อนๆผ่านโปรแกรมแชทต่างๆ เพื่อที่จะได้เห็นหน้าตากัน ทำให้ทุกวันนี้ผู้ผลิตกล้องนั้นพากันออกรุ่นใหม่มากมายให้เหล่าคนชอบกล้องได้เลือกกัน อีกทั้งยังฟังชั่นพิเศษต่างๆ ดังนั้นการเลือกเว็บแคมก่อนซื้อนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

เรามารู้กันก่อนคร่าวๆว่าเว็บแคมคืออะไร

เว็บแคม (Webcam) หรือชื่อเต็มๆที่เรียกกันว่า Web Camera. เว็บแคมนั้นเป็นอุปกรณ์ที่สามารถจับภาพเคลื่อนไหวของเราไปปรากฏในหน้ามอนิเตอร์ และยังสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวนี้ไปยังอีกคนได้โดยระบบเครือข่าย โดยสามารถเห็นตัวเราเคลื่อนไหวได้เหมือนอยู่ต่อหน้ากัน ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากในปัจจุบัน ทั้งยังมีราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักหลายพันบาท

วิธีการเลือกซื้อเว็บแคมมีดังนี้

  1. Frame rate คืออัตราความเร็วในการแสดงผลของภาพ ซึ่งมีหน่วยเป็น Frame per second (FPS) พูดง่ายๆก็คือ ยิ่งมีอัตราสูงเท่าไหร่ ก็จะทำให้ภาพไหลลื่นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันจะนิยมใช้กันที่ 30 FPS ถึง 45 fps เลยทีเดียว
  2. สำหรับคนที่ใช้ในพื้นที่ไฟน้อยๆ หรือปิดไฟ จะแนะนำให้เลือกใช้ Night Vision LED เพื่อเพิ่มความสามารถของกล้อง ไม่ว่าจะปิดไฟอยู่ หรือพื้นที่ไฟที่น้อยโดยลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย Night Vision LED จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับหลอดไฟ LED แต่จะไม่มีไฟส่องออกมา แสงนั้นจะออกมาในรูปแบบอินฟราเรดที่สายตาเรานั้นจะมองไม่เห็นนั้นเอง
  3. เว็บแคมบางตัวนั้นจะมีไมโครโฟนแถมมาด้วย เราสามารถซื้อไมโครโฟนแยกได้หากเราต้องการเสียงที่ดี แต่ไมโครโฟนที่มากับเว็บแคมนั้นก็มากับเทคโนโลยี USB Microphone ที่ทำออกมากับกล้องรุ่นใหม่ๆ โดยข้อดีของมันนั้นก็คือเสียงที่ดังชัด โดยบางทีอาจจะไม่ต้องการไมโครโฟนแยกเลยก็ได้
  4. บางรุ่นของกล้องเว็บแคม สามารถจับแค่ตัวเราได้ โดยไม่เห็นพื้นหลังของเรา โดยตัวกล้องนั้นจะจับสิ่งที่เคลื่อนไหวในระยะของกล้องนั่นเอง

  1. การรับประกันสินค้าและคุณภาพ อันนี้ก็เป็นจุดสำคัญในการเลือกซื้อเว็บแคม เพราะเวลาตัวกล้องมีปัญหา เราก็จะสามารถนำสินค้าไปเคลมกับทางร้านที่เราซื้อมาได้

การเลือกซื้อเว็บแคมนั้นอยู่ที่ความต้องการของผู้ใช้งานว่าจะนำไปใช้แบบไหน ต้องการความชัดมากแค่ไหน งบประมาณเท่าไหร่ หรือจะเน้นพกพาไปที่ต่างๆก็เหมาะกับเลือกขนาดกล้องที่เล็กได้ครับ

วิธีการเลือกกล้องเว็บแคมสำหรับ PC

เว็บแคม (Webcam) หรือ ชื่อเต็ม ๆ ว่า เว็บแคเมรา (Web Camera) เป็นกล้องที่สามารถบันทึกวีดีโอ และส่งสัญญาณภาพไปให้กับกับคอมพิวเตอร์ PC ใช้สำหรับการติดต่อสื่อสารแบบเห็นหน้า ถือว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับคอมพิวเตอร์ PC แบบตั้งโต๊ะ ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คน จำเป็นต้องซื้อแยกต่างหากกันเกือบทุกคน หากถามว่าทำไมจะต้องซื้อ? เพราะว่าคอมพิวเตอร์ PC นั้นไม่ได้มีกล้องติดตั้งมาให้ในตัวเหมือน Notebook หรือ Laptop รวมถึง Macbook ด้วย แต่อันที่จริงแล้วนั้น กล้องใน Notebook หรือ Macbook ก็ไม่ได้มีความคมชัดมากมายหนัก เพียงแค่พอใช้งานได้เท่านั้น ยิ่งถ้าหน้าจอบางเท่าไหร่ คุณภาพความละเอียดของกล้องก็จะยิ่งลดลงเท่านั้น ด้วยปัญหานี้จึงทำให้ผู้ที่ใช้งาน Notebook เอง ก็มักจะซื้อ Webcam มาใช้เป็น Option เสริมกันอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน

กล้องเว็บแคม Logitech c922 รูปภาพจาก logitech.com

อย่างที่บอกไปแล้วว่า Webcam นั้นไม่เพียงแต่มีความคมชัดในเรื่องของความละเอียด และสีที่สดใส แต่ส่วนใหญ่มักจะยังมีโหมดทำงานตอนกลางคืนด้วยระบบอินฟราเรด ที่ให้ภาพออกมาเนียนสวย ซึ่งมาพร้อมกับหลอดไฟ เพื่อเพิ่มความสว่าง หรือไมโครโฟนในตัว ที่จะช่วยให้คุณภาพเสียงของคุณดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟังก์อื่น ๆ อีกมากมาย ที่ขึ้นอยู่กับการผลิตของแต่ละแบรนด์ อาทิเช่น  ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนในตัว, ปรับตั้งค่าแสงเองอัตโนมัติ, หมุนปรับโฟกัสที่หน้าเลนส์ได้, ไม่จำเป็นต้องติดตั้งไดร์เวอร์ เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ Software ของแต่ละแบรนด์

กล้องเว็บแคมสำหรับ สตรีมเมอร์เกม

สำหรับใครที่เป็นสายสตรีมเมอร์หรือจะเป็นนักแคสเกมก็ได้ อย่างสตรีมเมอร์นั้นเป็นอาชีพที่เกมเมอร์ทั้งหลาย จะเล่นเกมและทำการถ่ายทอดสด (Live) ไปด้วย โดยผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Twitch.tv, NimoTV, Facebook Live และ Youtube ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเกมส์จากสมาร์ทโฟน หรือ เกมจากคอมพิวเตอร์ ก็สามารถทำการสตรีมได้ทั้งนั้น ซึ่งมีอุปกรณ์ที่สำคัญหลัก ๆ คอมพิวเตอร์, หน้าจอแสดงผลเมาส์คีย์บอร์ด, ไมโครโฟน, หูฟังแบบครอบหู และอื่น ๆ หากเป็นเกมสมาร์ทโฟนก็จะใช้จอยเกมมือถือเสริมเพิ่มตามความต้องการเกมส์นั้น ๆ รวมถึงตัวเอกอย่าง กล้องเว็บแคม (Webcam) ที่จะคอยถ่ายทอดสดผู้เล่นได้รับชม

การเลือกซื้อกล้องเว็บแคม (Webcam) ที่ดีที่สุด

กล้องเว็บแคม (Webcam) มีอยู่มากมายหลายรุ่นในท้องตลาด ตั้งแต่ราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท ทำให้หลาย ๆ คนไม่รู้ว่าจะเลือกรุ่นไหนดี ซึ่งกล้องเว็บแคมในปัจจุบันไม่ได้ใช้เพื่อวีดีโอคอลเพียงอย่างเดียวแล้ว โดยมันสามารถทำอย่างอื่นได้อีกหลากหลาย ดังนั้นเราจะมาแนะนำวิธีการเลือกกล้องเว็บแคม เพื่อให้ตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด

1. การใช้งาน

คุณต้องการนำไปใช้งานในด้านไหน เช่น วิดีโอคอลติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ๆ , การไลฟ์สดขายของ หรือใช้ในการสตรีมเกม หากคุณใช้วิดีโอคอลเพียงอย่างเดียวก็ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อกล้องที่มีราคาสูงจนเกินไป เนื่องจากไม่มีความจำเป็นในการใช้งานมากนัก แต่หากใช้ในการสตรีมเกมเป็นหลัก คุณจำเป็นที่จะต้องเลือกเฟรมเรทสูง ๆ เพราะจะทำให้ภาพของคุณลื่นไหลขณะถ่ายทอดสด

2. เฟรมเรต (Frame rate)

อัตราเฟรมหมายถึงความเร็วในการแสดงผลภาพต่อวินาที มีหน่วยเป็น Frame per second (FPS) ยิ่งมีเฟรมเรตสูงมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้ภาพของคุณลื่นไหลมากเท่านั้น โดยที่นิยมใช้กันในปัจจุบันจะอยู่ที่ 30 FPS

3. เลือกตามชนิดของเซ็นเซอร์

แน่นอนว่ากล้องเว็บแคมนั้นก็มีชนิดของเซ็นเซอร์ให้เลือก โดยหลัก ๆ แล้วจะมีอยู่ 2 ชนิด นั่นคือเซ็นเซอร์ CCD และเซ็นเซอร์ CMOS ซึ่งมีข้อดีข้อเสียต่างกัน

โดยเซ็นเซอร์ CCD ย่อมาจาก Charge Coupled Device ที่ทําหน้าที่รับแสงอย่างเดียว ที่จะแปลงค่าสัญญาณอนาล็อก (แสง) ให้เป็นสัญญาณดิจิตอล สำหรับ CMOS ย่อมาจาก Complementary Metal Oxide Semiconductor มีหน้าที่รับแสงเช่นกัน แต่จะทำการแปลงสัญญาณจากตัวเซ็นเซอร์เลย ดังนั้นสัญญาณที่ออกจาก CMOS จึงเป็นสัญญาณดิจิตอล ทำให้มีการทำงานรวดเร็วมากกว่า CCD แต่ CCD จะมีความเอียดของแสงและคมชัดมากกว่า และมีสัญญาณรบกวนภาพน้อยกว่า เพราะทำหน้าที่เพียงรับแสงอย่างเดียวไม่ต้องแปลงค่าสัญญาณใด ๆ

โดยรวมแล้ว CCD มีคุณภาพภาพด้าน Output นั้นจะดีกว่า แต่ CMOS นั้นก็ทำงานได้ดีและประหยัดพลังงาน ทั้งยังรวดเร็วกว่าจึงส่งผลทำให้มีอายุการใช้งานยาวกว่า CCD หากถามว่าจะเลือกเซ็นเซอร์แบบไหนดี ? สำหรับคนที่เล่นกล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดสูง ๆ แนะนำเซ็นเซอร์ CCD แต่สำหรับคนที่ต้องการการทำงานแบบเร็วรวดแนะนำเซ็นเซอร์ CMOS ซึ่งก็ถือว่ายังให้ความคมชัดในระดับคุณภาพดีเช่นกัน

3. การเชื่อมต่อ

การเชื่อมต่อของกล้อง Webcam นั้นก็มีความสำคัญ บางคนใช้คอมพิวเตอร์รุ่นที่ต่างกัน ก็จะทำให้ USB Port อาจจะมีเวอร์ชั่นที่ต่างกันด้วย ซึ่งจะมีตั้งแต่เวอร์ชัน USB 1.1, เวอร์ชัน USB 2.0, เวอร์ชัน USB 3.0 และเวอร์ชัน USB 3.1 ซึ่งแต่ละเวอร์ชัน นั้นก็จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลที่ต่างกัน ยิ่งเวอร์ชั่นที่ออกมาหลัง ๆ ความเร็วในการส่งข้อมูลก็ยิ่งสูงขึ้นเร็วขึ้นเท่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นโปรดตรวจสอบ USB Port ของคุณก่อนซื้อกล้อง Webcam ด้วยว่ารองรับกันหรือไม่ วิธีการแยกพอร์ต USB ในคอมพิวเตอร์ การเลือกใช้เวอร์ชันพอร์ตของ USB ให้ตรงตามที่ออกแบบมาจะช่วยให้อุปกรณ์นั้น ๆ ทำงานได้รวดเร็วตรงตามที่ระบุไว้ ถามว่าคนละเวอร์ชันสามารถใช้ร่วมกันได้ไหม? ก็สามารถใช้ร่วมกันได้ แต่จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และบางครั้งอุปกรณ์บางตัวก็ใช้ร่วมกันไม่ได้จริง ๆ ดังนั้นเลือกใช้ให้ตรงตามเวอร์ชันจะเป็นการดีที่สุด

การเชื่อมต่อ USB Port

หรือคุณอาจจะมองหากล้อง Webcam ที่มีการเชื่อมต่อแบบไร้สาย โดยใช้สัญญาณ WiFi ในการเชื่อมต่อแทน Port ต่าง ๆ นี่ถือว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่ชอบต่สาย USB ให้วุ่นวาย

4. โหมดกลางคืน หรือ Night โหมด

โหมดกลางคืนก็เป็นอีหหนึ่งเรื่องที่ผู้ซื้อกล้องอเว็บแคมจะต้องพิจารณา เพราะหากกล้องเว็บแคมของคุณไม่มีโหมดกลางคืน ภาพที่ออกมาก็จะไม่มืดจนไม่มองไม่เห็นอะไรเลย โหมดกลางคืนจะทำหน้าที่ปรับภาพให้สว่างขึ้นโดยที่ไม่ต้องใช้หลอดไฟที่มาพร้อมกล้อง จะเห็นได้ว่ากล้องบางตัวก็ไม่มีหลอดไฟติดมารอบกล้อง เพราะกล้องพวกนี้มักจะมีระบบอินฟราเรดมาอยู่แล้ว ระบบอินฟราเรดนั้นจะช่วยให้กล้องทำงานในที่แสงน้อยได้ดี

5. ไมโครโฟน

ไมโครโฟนเป็น Option เสริมที่แถมมาพร้อมกล้อง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วกล้องเว็บแคมจะมีไมโครโฟนติดมาด้วยตลอด เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานที่สุด ไม่ต้องไปหาซื้อไมโครโฟนเสริมให้วุ่นวาย

6. ฟังก์ชันเสริมอื่น ๆ

ในส่วนนี้หมายถึง โหมดต่าง ๆ เช่น โหมดโฟกัสอัตโนมัติ กำหนดระยะชัดของภาพได้ ปรับแสงอัตโนมิติ ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และอื่น ๆ โดยฟังก์ชันของกล้องเว็บแคมเหล่านี้ คือตัวช่วยที่ทำให้ภาพของคุณมีความคมชัด และคุณภาพที่ดีมากขึ้น แม้อยู่ในที่แสงน้อยก็ตาม รวมถึงคุณภาพของไมโครโฟนด้วยเช่นกัน

7. งบประมาณ

แน่นอนว่ากล้องเว็บแคม (Webcam) ที่มีราคาสูง ๆ ย่อมมีคุณภาพดีกว่า ทั้งภาพ เสียง และคุณภาพด้านฟังก์ชั่นต่าง ๆ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับคุณว่ามีงบประมาณมากน้อยแค่ไหน แต่หากคุณต้องการนำไปสตรีมเกมโดยเฉพาะเราแนะนำให้ซื้อกล้องเว็บแคมที่มีราคาสูง ๆ ไปเลยจะดีกว่า เพราะมันจะทำให้การสตรีมของคุณลื่นไหล คมชัด ไม่มีทางสะดุดเลย

5 กล้องตัวท็อป ! “ที่สุด” ในรุ่น 2020 !

ในปีที่ผ่านมา แต่ละแบรนด์ได้มีการเปิดตัวกล้องหลายๆตัวมาแข่งกัน วันนี้เราจะมาพูดถึงจุดเด่นของกล้องที่พึ่งเปิดตัวกันมาในปีที่ผ่านมา ประชันกันว่า ใครจะเด่นในด้านไหน และกล้องตัวไหนที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของคุณ

เริ่มต้นกันที่ “กล้องที่อึดที่สุด ! (แบตเตอรี่)” ก็คือ กล้อง SONY α6600 นั้นเอง ! เป็นกล้องเรือธงที่นอกจากเสียงชื่นชมจากสเป็คของกล้องที่จัดเต็มมาแล้ว กล้อง α6600 เป็นกล้อง APS-C ที่จัดเต็มในการถ่าย ที่ได้ทั้งภาพนิ่งที่ถ่ายได้ถึงความละเอียด 24.2 พิกเซล และวีดีโอ 4K อีกด้วย เพราะด้วยตัวกล้อง SONY α6600 ที่มีกันสั่นถึง 5 แกนที่ช่วยลดการสั่นไหวได้ถึง 5 สตอป จึงทำให้การถ่ายภาพของเราสมูทขึ้น และกล้องตัวนี้ยังเพิ่มช่องเสียบได้ทั้งไมโครโฟนและหูฟัง มาถึงจุดเด่นของแบตเตอรี่ของกล้อง SONY α6600 ที่มาคู่กับแบตเตอรี่รุ่น NP-FZ100 ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความอึดและทน โดยการใช้งานจริงหลังจากที่มีการทดสอบการใช้งานใน 1 วัน สามารถถ่ายภาพนิ่งได้ถึง 600 ภาพ และวีดีโออีก 20 นาที แบตเตอรี่ของกล้องตัวนี้ยังเหลือราวๆ 20% อยู่เลย นับเป็นกล้องที่มีความอึดถึกและทน (แบตเตอรี่) มากๆเลย !

SONY α6600 BODY ด้านหน้า / ด้านหลัง

 

มาต่อกันในกล้องตัวต่อไป คือ “กล้องที่มีความวินเทจที่สุด !” อินเทรนด์มากในขณะนี้กับการเล่นกล้องฟิล์ม นั่นก็คือ กล้อง FUJIFILM X-Pro 3 นั้นเอง ! ด้วย body ภายนอกของกล้องมีการออกแบบมาในรูปแบบของกล้อง Rangefinder (ช่องมองภาพด้านข้างแบบกล้องฟิล์มสมัยก่อน) ให้มีสไตล์ที่ผสมผสานระหว่างกล้องฟิล์มและกล้องดิจิตอล ช่องมองภาพนี้เป็นแบบ Advanced Hybrid Viewfinder ที่สามารถเปลี่ยนสลับให้ใช้ได้ทั้ง Optical View Finder (มองภาพจากช่องมองภาพจริง เห็นภาพจริงตรงหน้า ไม่ได้ผ่านจอ electronic) และ Electronic View Finder (เป็นหน้าจอ electronic ที่มีฟังก์ชั่นหรือการปรับตั้งค่า) แถมที่ตัว body ในสีของ Dura Black และ Dura Silver ยังมีการเคลือบสาร Duratech เพื่อป้องกันลอยขีดข่วนของตัวกล้องอีกด้วย กล้อง FUJIFILM X-Pro 3 ตัวนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ! ในส่วนของฟังก์ชั่น กล้องตัวนี้ยังสามารถถ่ายรูปแบบจำลองสีของฟิล์มที่มีถึง 11 แบบ ในสีที่นิยมในอดีตอย่าง Fujifilm Superia และฟิล์มใหม่ที่เอามาใส่ในตัวกล้องนี้อย่างสี CLASSIC Neg แต่ยังไม่ทิ้งความเป็นกล้องดิจิตอลโดยสามารถถ่ายรูปซ้อนได้ถึง 9 เฟรม และยังนำสีของฟิล์มต่างๆมาใช้ในโหมดนี้ได้ด้วย !

FUJIFILM X-Pro 3 BODY ด้านหน้า

FUJIFILM X-Pro 3 BODY ด้านหลัง

 

กล้องตัวต่อไปจะเป็น ”กล้องที่เร็วที่สุด ! (จับโฟกัสได้เร็วที่สุด)” ต้องไม่พ้นกล้อง SONY α9 MII อย่างแน่นอน ! ด้วยกล้อง Full frame ตัวนี้ สามารถจับโฟกัสได้เร็วมาก ถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงถึง 20 ภาพต่อวินาที เร็วจนสามารถถ่ายภาพในกีฬาต่างๆโดยไม่พลาดแม้แต่ช็อตเดียว ! และมีฟิเจอร์ Voice Memo ที่สามารถบันทึกเสียงพูดลงในไฟล์ภาพถ่ายเพื่อช่วยในการนำมาใช้งานได้สะดวกขึ้น แถมยังมีการ AI ที่ติดตามการเคลื่อนไหวได้แบบ real time ประมวลผลข้อมูลสี รูปแบบ ระยะทาง ใบหน้า และดวงตาจากเซนเซอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สูงมาก AI นี้ยังสามารถจับรูปแบบดวงตาในแบบของสัตว์ได้ด้วย การถ่ายน้องหมาที่ขยับตัวตลอดเวลาก็จะไม่ยากอีกต่อไปถ้าใช้กล้อง SONY α9 MII ตัวนี้ !

SONY α9 MII BODY ด้านหน้า

SONY α9 MII BODY ด้านหลัง

กล้องตัวนี้จะเป็น “กล้องที่แข็งแรงที่สุด ! (ถึกทนแรงกระแทก)” คิดไม่ผิดหรอก มันคือกล้อง Gopro hero 8 black นั้นเอง ! ด้วยความที่เป็นกล้อง Action Camera ตัวกล้องจะต้องถึกคงทน เรียกได้ว่าเป็นกล้องที่สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกก็ว่าได้ Gopro hero 8 black ตัวใหม่นี้ยังมีกันสั่นแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นเป็น HyperSmooth 2.0 เป็น HyperSmooth Boost ที่แทบจะไม่ต้องใช้ไม้กันสั่นกันเลยทีเดียว กล้อง Action Camera ตัวจิ๋วพกพาง่ายนี้ ยังลองรับการถ่ายวีดีโอ 4K ได้สูงสุด 60 เฟรมต่อวินาที แถมมุมมองในการถ่ายภาพที่พัฒนาขึ้นเป็น 4 แบบ มี Linear (19-39mm), Narrow (27mm) , SuperView (16mm) ,Wide (16-34mm) คราวนี้ก็เก็บวิวตอนที่ไปท่องเที่ยวถ่าพภาพหรือถ่ายวีดีโอได้ครบไม่ขาดตอนแล้ว !

Gopro hero 8 black BODY ด้านหน้า

 

Gopro hero 8 black BODY ด้านหลัง

 

มาที่กล้องที่สุดตัวสุดท้ายกันแล้ว นั้นคือ กล้องที่เอาใจสาวๆมากที่สุด “กล้องที่น่ารักที่สุด ! (ใสๆเหมาะกับสาวๆที่สุด)” เรียกได้ว่าสาวๆน่าจะไม่พลาดกันในส่วนของกล้องตัวนี้เลย FUJIFILM MINI INSTAX LIPLAY ที่พึ่งเปิดตัวกันไปในตอนปลายปีที่ผ่านมานี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกคนจะได้ยินในชื่อเสียงของตัวกล้อง INSTAX ที่สามารถถ่ายภาพปุ๊บ ปริ้นท์ภาพได้ปั๊บ ! โดยการเลือกภาพจากหน้าจอด้านหลังก่อนที่จะปริ้นท์ออกมา ทำให้ไม่สิ้นเปลืองฟิล์มแถมยังได้รูปที่เราต้องการ ! และตัว INSTAX MINI LIPLAY ตัวนี้ยังสามารถอัดเสียงลงไปในภาพที่ปริ้นท์มาในแต่ละภาพได้อีกด้วย ! ฟังไม่ผิด มันสามารถเก็บเสียงในขณะถ่ายรูปนั้นๆได้จริงๆ หลังจากที่รูปออกมาแล้วจะมี QR code ที่พอเราสแกน สามารถเข้าไปฟังเสียงผ่านโทรศัพท์เราได้อีกด้วย และยังสามารถสั่งถ่ายรูประยะไกลจากสมาร์ตโฟนของเราอีก !

FUJIFILM MINI INSTAX LIPLAY

เว็บแคม (Web Cam) คืออะไร

Web Cam ชื่อเต็มๆ คือ Web Camera หมายถึงกล้องถ่ายรูป วีดีโอที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ บางคนอาจเรียก Web Cam ว่า Video Camera โดยปกติแล้ว คอมพิวเตอร์ notebook รุ่นใหม่ๆ จะมีกล้องติดมาให้ด้วยเลย ทำให้ไม่จำเป็นต้องซื้อ Web Cam มาเพิ่มเติม

Web Cam ทำอะไรได้บ้าง

หลักๆ ของการใช้งานเว็บแคมก็คือ การ chat ทาง MSN, Skype เพื่อให้สามารถเห็นหน้าตาได้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นที่นิยมใช้กันมากสำหรับการประยุกต์ไปใช้งานอย่างอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน เช่น ใช้เป็นกล้องถ่ายรูป หรือ จะใช้สำหรับการทำเป็นกล้อง CCTV ก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน

ประเภทของ Web Cam

ราคาของเว็บแคม มีตั้งราคาหลักร้อยขึ้นไป ทั้งนี้ ถ้าต้องการคุณภาพสูงก็คงต้องเลือกกันที่ตัวเซ็นเซอร์ ซึ่งทั่วไปจะมี 2 แบบคือ แบบ CCD และแบบ CMOS (CMOS เป็นที่นิยมกว่า CCD) อย่างไรก็ตาม ความละเอียดของภาพที่ได้ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คุณภาพ และราคาแตกต่างกันออกไป

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อ ถ้าเป็นการติดตั้งแบบภายนอก (สำหรับ notebook ที่ไม่มีเว็บแคมหรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ) ส่วนใหญ่ก็นิยมเชื่อมต่อผ่าน USB พอร์ต ซึ่งถือว่าสะดวก และดีที่สุดในปัจจุบัน

Review C922 Logitech กล้องเว็บแคม

        ในวันนี้จะมาทำการ Review C922 Logitech กล้องเว็บแคม ให้เพื่อนๆได้ชมกันนะครับ

ซึ่งเจ้าเวปแคมตัวนี้เป็นตัวใหม่ที่เป็นรุ่นต่อยอดมาจากตัว C920 อันโด่งดัง ที่เหล่า Youtuber หรือ Gamer เลือกใช้กันในงานต่างๆที่เกี่ยวกับวิดีโอ ไม่ว่าจะเป็นการอัดวิดีโอหน้าจอ สำหรับการถ่ายทอดสด (Live) หรือสอนการใช้งานต่างๆ (How to/Tutorial) การแคสเกม (Game Caster หรือที่ต่างประเทศจะเรียกว่า Gaming Commentator) เป็นต้น แล้วก็เพราะเจ้า C920 นี้ให้คุณภาพของไฟล์ VDO ที่ดี กับการใช้งานที่ง่ายมากๆ ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานได้ดีและราคาก็ไม่แรง (เรื่องราคาพูดยาก แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพที่ได้ ถือว่าไม่แพงจริงๆครับ) C920 ก็เลยกลายเป็น Webcam ที่ได้รับความนิยมสูงนั่นเองครับ

         ที่ผ่านมา ถึงแม้ผมจะไม่ได้ใช้กล้องเวปแคมในกระบวนการทำงานของผมมากนัก แต่จากการที่ได้ลองใช้ C920 แค่ไม่กี่ครั้ง (ไม่ได้มีเป็นของตัวเองอีกต่างหาก) ก็รู้สึกดีกับเจ้าอุปกรณ์เวปแคมตัวนี้ครับ สิ่งที่ผมชอบมากๆ จะเป็นเรื่องของการใช้งานที่ง่ายมากๆ และยังได้ VDO Quality ที่ดี เพราะปกติจะเป็นคนค่อนข้างกังวลกับ Quality มาก บางทีก็จะพยายามหาอุปกรณ์นู่นนี่นั่นมาใช้ซะจนรู้ตัวอีกทีก็ … เยอะไปหมด ทำงานไม่สะดวกประมาณนั้น แต่ถึงแม้จะรู้ตัวว่าทำงานไม่สะดวก อุปกรณ์ดูเยอะรุงรัง แต่ถ้าเพื่อ Quality ที่ดี ผมก็ยังรับได้นะ 555

ประกอบกับในช่วงนี้ ผมเองก็กำลังจะมี Project งานใหม่ๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์พวกเวปแคมเข้ามาใช้ในการทำงาน (work flow) ของผมด้วยแล้ว ผมก็ต้องการอะไรที่ง่ายและเร็ว ผมนี่ไม่ได้มองหาตัวอื่นเลยครับ รีบเข้าเวปเปิดดูและหาซื้อเจ้าตัว C920 อย่างไว เพราะว่าก็เล็งไว้นาน(หลายปี)แล้ว แต่ตอนที่กำลังหาข้อมูลอยู่นั้น ก็บังเอิญไปเห็นซะก่อนว่า มีตัว C922 ออกมาใหม่ได้ไม่นาน แล้วก็เป็นตัวอัพเกรดจากเจ้าตัวนี้ด้วย ลากสเปกดูคร่าวๆ กับราคาที่ขายอยู่ ก็เลยไม่รอช้าครับ จัดมาใช้งานเป็นของตัวเองเรียบร้อยในทันที

สำหรับก่อนอื่นเลย ก็คงต้องขอแนะนำสเปกกันก่อน ซึ่งตามตารางนี้ก็จะเปรียบเทียบให้ดูสเปกของ Logitech C920 และ C922 กันครับ

รายละเอียดของ Spec ลึกๆ สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหน้าเวปของ Logitech เลยครับ

http://www.logitech.com/th-th/product/c922-pro-stream-webcam?crid=34

เทคนิคการถ่ายภาพ Silhouette

1. ควรเลือกรูปร่างของวัตถุหรือตัวแบบที่เห็นได้ชัดเจน

Silhouette สามารถเกิดได้จากวัตถุหรือแบบต่างๆที่มีความชัด แต่ไม่ใช่ว่าจะถ่ายออกมาได้สวยงามไปทั้งหมด ก่อนที่จะถ่ายควรหาวัตถุที่มีรูปร่างหรือส่วนโค้งที่เห็นได้ชัดเจน เพราะภาพ Silhouette นั้นจะไม่สื่อออกมาเป็นสีหรือมีรายละเอียดใดๆ แต่จะเห็นเป็นเพียงเงาดำโครงร่างมืดๆเท่านั้น วัตถุหรือแบบมีรูปร่างที่โดดเด่นน่าจดจำจะทำให้ภาพดูน่าสนใจ

2. หามุมแสงที่จะถ่าย

การถ่ายภาพ Silhouette ทำได้ง่าย เพียงหาแสงที่ผ่านเข้ามาด้านหลังวัตถุหรือแบบที่ต้องการถ่าย และแสงจากฉากหน้าจะต้องสว่างน้อยกว่าฉากหลัง ปกติในการถ่ายก็อาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงธรรมชาติที่พบเห็นได้ง่ายและสวยงามที่สุด ส่วนเวลาในการถ่ายที่ดีที่สุดคือช่วงก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นและตก หรือจะใช้แสงประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นก็ได้เช่นกัน

3. ปิดแฟลช

เวลาจะเริ่มถ่ายถ้ากล้องอยู่ในโหมด Auto กล้องอาจลั่นแฟลชออกมาได้ เพราะถ่ายตอนแสงน้อย จะทำให้วัตถุหรือตัวแบบสว่างขึ้นจนกลายเป็นภาพถ่ายธรรมดาไม่ใช่ภาพ Silhouette ดังนั้นก่อนถ่าย ควรปิดแฟลชทุกครั้ง

4. จัดองค์ประกอบของภาพ

สถานที่ที่เหมาะแก่การถ่ายภาพ Silhouette คือสถานที่เปิดโล่ง เช่น ชายหาด ทุ่งหญ้ากว้าง ๆ หรือริมแม่น้ำ เมื่อหาสถานที่และวัตถุ Silhouette ได้แล้ว ก็มาจัดองค์ประกอบของการถ่ายภาพ Silhouette กันต่อ ซึ่งทำได้ง่าย ๆ โดยให้วัตถุหรือตัวแบบอยู่ที่ฉากหน้า ส่วนท้องฟ้าเป็นฉากหลัง ถ้าให้ดีควรเป็นช่วงที่ท้องฟ้าโปร่งและไม่มีเมฆจะดีกว่า ซึ่งช่วยเพิ่มความสวยงามในภาพได้ ส่วนการวางตำแหน่งของวัตถุกับแสงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ

5. วัตถุหรือตัวแบบต้องโดดเด่น

ถ้าต้องการถ่ายวัตถุหลายอย่างให้อยู่ในภาพเดียวกัน พยายามอย่าให้วัตถุอยู่ใกล้กันเกินไป หรือเงาของวัตถุทับซ้อนกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในฉากมีคนและต้นไม้อยู่ ควรให้คนยืนห่างหรือยืนข้างๆ ต้นไม้ และหลีกเลี่ยงการยืนหน้าต้นไม้ เพราะจะทำให้เงาของต้นไม้กับคนรวมกันจนเกิดเป็นรูปร่างใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งทำให้ผู้ที่ชมภาพสับสนว่าเป็นภาพอะไร
หากจะถ่ายเน้นเฉพาะตัวบุคคลต้องให้คนที่รับชมภาพจดจำภาพได้ง่าย ๆ โดยใช้โครงร่างของใบหน้าที่เห็นได้ชัดเจน เช่น จมูก ปากและแก้ม

6. โหมด Auto

กล้องดิจิทัลสมัยนี้ฉลาดในเรื่องการวัดแสงแบบอัตโนมัติอยู่แล้ว แม้แต่เวลาที่ต้องการภาพ Silhouette กล้องก็จะทำให้ตัวแบบสว่างขึ้นมา ดังนั้นก่อนเริ่มถ่ายให้จัดองค์ประกอบของภาพก่อน โดยวัดแสงไปยังจุดที่ท้องฟ้าสว่างที่สุดในภาพ กดชัตเตอร์ลงครึ่งนึงแล้วหันกล้องกลับไปมุมที่จัด
องค์ประกอบไว้ และถ่ายภาพได้เลย หรือจะใช้โหมดวัดแสงแบบจุด ซึ่งช่วยวัดแสงไปจุดที่ต้องการแทนการวัดแสงหลายๆ จุดในภาพก็ได้

7. โหมด Manual

ช่างภาพบางคนชอบตั้งค่าโหมด Manual มากกว่า ในการถ่ายภาพ Silhouette ให้ตั้งค่า f แคบ ๆ เช่น f8 หรือมากกว่านั้น เพื่อให้มีความชัดลึกทั้งภาพและช่วยลดความคลาดเคลื่อนของสีอันเกิดจากการเล็งกล้องไปที่ดวงอาทิตย์ ในการตั้งค่าสปีดชัตเตอร์ถ้าภาพยังมืดไม่พอ ก็ให้เพิ่มสปีดชัตเตอร์สูงๆ อีก โดยให้เริ่มที่ 1/125 ในกรณีที่วัตถุหรือตัวแบบหยุดนิ่ง หรือ 1/250 เมื่อวัตถุมีการเคลื่อนไหว
ส่วนการตั้งค่า ISO ควรตั้งให้ต่ำเท่าที่จะทำได้ เพราะขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังตก มักอดใจไม่ได้ที่จะเพิ่มค่า ISO ให้สูงขึ้น ควรค่อยๆ เพิ่ม ISO จะดีกว่า เพราะถ้า ISO สูงเกินไป ภาพก็จะเกิด Noise ได้ แต่โอกาสในการเกิด Noise ก็ขึ้นอยู่กับกล้องแต่ละรุ่นด้วย

8. การโฟกัส

ในการถ่ายภาพ Silhouette วัตถุหรือตัวแบบที่อยู่ฉากหน้าจะต้องอยู่ในโฟกัส หากวัดแสงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เลือก Manual focus เพราะโหมดนี้จะดีกว่าการตั้งค่าแบบ Auto focus ตรงที่สามารถเลือกจุดโฟกัสได้เอง โดยเลือกโฟกัสไปที่ตัววัตถุหรือตัวแบบที่อยู่ฉากหน้า และมีอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือใช้การตั้งค่ารูรับแสง f แคบ ๆ อย่างที่บอกไปแล้วในข้อ 7 เพื่อให้ทั้งภาพชัดลึกอยู่ในช่วงโฟกัสทั้งหมด